|
Post by Beeying on Apr 7, 2023 18:50:27 GMT 7
เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ มาร่วมแชร์สภาวะจากการปฏิบัติกันค่ะ
|
|
|
Post by Beeying on Apr 7, 2023 20:18:29 GMT 7
วันศุกร์ที่ 7 เม.ย. 2566
สภาวะวันนี้ว่างโล่ง ใหญ่ เบามาก เบาจนรู้สึกเหมือนจะเหาะขึ้นแล้ว จิตมีความใหญ่จนผัสสะที่เป็นทุกขเวทนาเป็นเหมือนก้อนๆตรงกลาง จิตก็มีการชำเลืองมองไปบ้าง แต่ไม่ได้รู้สึกว่าถูกดูดติดเข้าไปเหมือนแต่ก่อน จังหวะที่จิตเบา ความคิดเป็นเหมือนฝุ่นทรายลอยผ่านไปผ่านมา จิตยังมีเจตนาเข้มๆอยู่เป็นระยะตามความเคยชินที่อยากให้จิตดวงนี้ดีขึ้น แต่ก็ปล่อยวางให้เค้าเป็นไปโดยที่ไม่ทำอะไรมากขึ้น บางครั้งมีเวทนาเข้ามา แต่ก็เห็นเป็นเหมือนก้อนๆ เข้ามาแล้วก็ผ่านไป และในท้ายที่สุด จิตมีความสว่างไสวมากๆค่ะ
|
|
|
Post by พงศ์ on Apr 7, 2023 21:02:48 GMT 7
จาก ep 342 สรุป ความได้ว่า นิพพานไม่ใช่การดับสูญไปเลย อ.เทียบว่า เหมือนจักวาล มี ขนาดเท่าเดิม ของภายในก็เท่าเดิม แต่จะมี ของ 2 ชนิด คือ 1.ของที่ อยู่ในภาวะ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพราะว่า ขันธ์ 5 ล้วน เปลี่ยนแปลง (ทุกขัง) 2.ของที่ไม่แปลเปลี่ยนตลอดเวลา เพราะทิ้ง สิ่งที่เปลี่ยนแปลง อย่างขันธ์ 5 ไปแล้ว ฉะนั้น การนิพพาน แปลว่าการดับ ดับอวิชชา ดับขันธ์ 5 แต่ ยังไม่ได้หายไปไหน แต่ใช้คำของ โลกอธิบายไม่ได้ เพราะถ้ายังอธิบายด้วยโลกๆ ได้ ย่อมแสดงว่ายังเกิดดับได้ เพราะสัญญา ก็ไม่เที่ยง
สังขตธรรม (อ่านว่า สัง-ขะ-ตะ-ทำ) เป็นคำสมาส มาจากภาษาบาลีว่า สงฺขต (อ่านว่า สัง-ขะ-ตะ) แปลว่า รวมกัน ประกอบกัน ปรุงแต่ง เกิดขึ้นด้วยเหตุร่วมกัน กับคำว่า ธรรม แปลว่า ธรรมชาติ. สังขตธรรม จึงเป็นธรรมชาติที่ปรุงแต่งด้วยเบญจขันธ์ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เช่น มนุษย์ สัตว์ หรือสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ล้วนประกอบด้วยเบญจขันธ์. สังขตธรรมมีการเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง และดับไป เวียนอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ปรากฏอยู่ในทุก ๆ สิ่ง เช่น เซลล์ในร่างกายเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลง เสื่อม และสิ้นไป ในขณะเดียวกันจะมีเซลล์ใหม่เกิดขึ้นมาทดแทน
ส่วน อสังขตธรรม เป็นคำตรงข้ามกับสังขตธรรม หมายถึง ไม่มีสิ่งปรุงแต่งให้เกิดขึ้น เมื่อไม่เกิดก็จะไม่เสื่อมสลาย และไม่มีการดับสูญ.
|
|
|
Post by ตั๊ก Nalis on Apr 7, 2023 22:01:41 GMT 7
๗ เม.ย.๖๖
สภาวะระหว่างวันช่วงนี้ ยังไม่มีสติอัตโนมัติ แต่ว่าเริ่มมีสติมากขึ้น อย่างเช่น สามารถยอมรับความเป็นจริงในเรื่องที่เราไม่พึงปรารถนาได้มากขึ้น ไม่ใช้เวลาโศกเศร้าฟูมฟายนานเหมือนก่อนที่จะมาปฏิบัติ อาการเศร้า เสียใจ ยังมีอยู่แต่ใช้เวลาสั้นลงจากที่เคยเศร้าเป็นเดือนๆ เหลือแค่เป็นวัน แล้วก็มีสติรับรู้ว่ากำลังเศร้า ถือว่าเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดเจนถึงผลจากการปฏิบัติ
นอกจากนี้ในระหว่างวันช่วงที่ว่างๆ มักจะมีความรู้สึกขึ้นมาแว้บๆ เช่น ผิวหนังของเรานี้ที่จริงก็เหมือนแค่ชุดที่ใส่ไว้สำหรับหุ้มห่ออวัยวะภายในไม่ให้กระจัดกระจาย, ตัวเราเป็นสิ่งสมมติ เป็นแค่ความฝัน วันนึงก็จะไม่มีเรา ไม่มีคนนั้น ไม่มีคนนี้ ไม่มีสัตว์ตัวนั้น ไม่มีแม้แต่บ้านที่เราอาศัย บางครั้งช่วงก่อนนอนก็เคยมีอาการหัวโล่ง โล่งมากจนต้องถามตัวเองว่า ทำไมมันโล่งได้ขนาดนี้
พอได้สัมผัสประสบการณ์เหล่านี้ก็นึกกราบขอบพระคุณพี่ตุลย์และพี่ฮิม ที่ได้สละเวลาสอนจนทำให้คนคนหนึ่งที่นั่งสมาธิไม่เป็นสามารถนั่งสมาธิ เดินจงกรมได้เป็นชั่วโมง และมีกำลังใจเดินบนเส้นทางนี้ต่อไปจนกว่าจะถึงทางสิ้นสุดแห่งทุกข์ค่ะ
กราบครูทั้งสองท่านค่ะ🙏
|
|
|
Post by แม่ชีต้นข้าว on Apr 9, 2023 5:35:40 GMT 7
EP344 วันเสาร์ 8 เม.ย. ตอนที่อาจารย์ไกด์ว่าไม่ต้องเอาแสงสว่าง ก็รู้สึกว่าทิ้งแสงไปได้ ไม่ติดแสงค่ะ
|
|
|
Post by nutty Jeezooya on Apr 9, 2023 7:06:10 GMT 7
EP344 วันเสาร์ 8 เม.ย. ตอนที่อาจารย์ไกด์ว่าไม่ต้องเอาแสงสว่าง ก็รู้สึกว่าทิ้งแสงไปได้ ไม่ติดแสงค่ะ น่าจะเป็นเหมือนกันคะแม่ชี
|
|
|
Post by nutty Jeezooya on Apr 9, 2023 7:07:22 GMT 7
๗ เม.ย.๖๖ สภาวะระหว่างวันช่วงนี้ ยังไม่มีสติอัตโนมัติ แต่ว่าเริ่มมีสติมากขึ้น อย่างเช่น สามารถยอมรับความเป็นจริงในเรื่องที่เราไม่พึงปรารถนาได้มากขึ้น ไม่ใช้เวลาโศกเศร้าฟูมฟายนานเหมือนก่อนที่จะมาปฏิบัติ อาการเศร้า เสียใจ ยังมีอยู่แต่ใช้เวลาสั้นลงจากที่เคยเศร้าเป็นเดือนๆ เหลือแค่เป็นวัน แล้วก็มีสติรับรู้ว่ากำลังเศร้า ถือว่าเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดเจนถึงผลจากการปฏิบัติ นอกจากนี้ในระหว่างวันช่วงที่ว่างๆ มักจะมีความรู้สึกขึ้นมาแว้บๆ เช่น ผิวหนังของเรานี้ที่จริงก็เหมือนแค่ชุดที่ใส่ไว้สำหรับหุ้มห่ออวัยวะภายในไม่ให้กระจัดกระจาย, ตัวเราเป็นสิ่งสมมติ เป็นแค่ความฝัน วันนึงก็จะไม่มีเรา ไม่มีคนนั้น ไม่มีคนนี้ ไม่มีสัตว์ตัวนั้น ไม่มีแม้แต่บ้านที่เราอาศัย บางครั้งช่วงก่อนนอนก็เคยมีอาการหัวโล่ง โล่งมากจนต้องถามตัวเองว่า ทำไมมันโล่งได้ขนาดนี้ พอได้สัมผัสประสบการณ์เหล่านี้ก็นึกกราบขอบพระคุณพี่ตุลย์และพี่ฮิม ที่ได้สละเวลาสอนจนทำให้คนคนหนึ่งที่นั่งสมาธิไม่เป็นสามารถนั่งสมาธิ เดินจงกรมได้เป็นชั่วโมง และมีกำลังใจเดินบนเส้นทางนี้ต่อไปจนกว่าจะถึงทางสิ้นสุดแห่งทุกข์ค่ะ กราบครูทั้งสองท่านค่ะ🙏 🙏🙏🙏คะบุญรักษานะคะขอร่วมอนุโมทนาบุญด้วยทุกประการคะ ตอดอง ครูมชมอยู่ฟังสภาวะส่งการบ้านล่าสุด
|
|
|
Post by nutty Jeezooya on Apr 9, 2023 7:08:04 GMT 7
วันศุกร์ที่ 7 เม.ย. 2566 สภาวะวันนี้ว่างโล่ง ใหญ่ เบามาก เบาจนรู้สึกเหมือนจะเหาะขึ้นแล้ว จิตมีความใหญ่จนผัสสะที่เป็นทุกขเวทนาเป็นเหมือนก้อนๆตรงกลาง จิตก็มีการชำเลืองมองไปบ้าง แต่ไม่ได้รู้สึกว่าถูกดูดติดเข้าไปเหมือนแต่ก่อน จังหวะที่จิตเบา ความคิดเป็นเหมือนฝุ่นทรายลอยผ่านไปผ่านมา จิตยังมีเจตนาเข้มๆอยู่เป็นระยะตามความเคยชินที่อยากให้จิตดวงนี้ดีขึ้น แต่ก็ปล่อยวางให้เค้าเป็นไปโดยที่ไม่ทำอะไรมากขึ้น บางครั้งมีเวทนาเข้ามา แต่ก็เห็นเป็นเหมือนก้อนๆ เข้ามาแล้วก็ผ่านไป และในท้ายที่สุด จิตมีความสว่างไสวมากๆค่ะ 🙏🙏🙏คะบุญรักษานะคะขอร่วมอนุโมทนาบุญด้วยทุกประการคะบีอิ้ง
|
|
|
Post by Beeying on Apr 10, 2023 6:41:13 GMT 7
วันจันทร์ 10 เม.ย. 2566
เมื่อวานที่วรการ ก่อนที่ครูฮิมมาโค้ช จิตก็เปิดโล่งกว้างแล้ว แต่ยังมีอาการสั่นไหวเล็กๆจากผัสสะ เม่ือครูฮิมบอกให้มีความกล้าหาญ ปล่อยให้จิตเผชิญกับสิ่งที่ไม่เคยพบเจอและลดการประคอง จิตเปิดโล่งอย่างไม่เคยเป้นมาก่อน และมีความเปิดรอบทุกทิศแบบกว้างขวางมาก และรู้สึกว่าทุกขันธ์หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเหมือนของไหล คือมีความเป็นของเหลวและมวลพลังงานผสมๆกัน ณ จังหวะนั้นคือรู้สึกว่าทุกขันธ์เท่าเทียมกันจริงๆ ไม่เว้นแม้แต่อีกขันธ์(เจ้ากรรมนายเวร)ที่อยู่ด้วยกันมานานแล้ว ตอนนั้นไม่มีแบ่งเขาแบ่งเรา ไร้ความกลัว มีความเท่าเทียมกันหมด แต่กำลังบีอิ้งที่ไปอยู่สภาวะแบบนั้นคงได้ไม่นาน เมื่อวานเป็นครั้งแรกที่ภาวนาได้ไม่ต่อเนื่อง กำลังหมดกลางคันหลายรอบและต้องรีเซ็ตหลายรอบ
วันนี้ไร้ตัวตนช่วงเช้า จิตมีความว่างโล่งมาก มากจนรู้สึกว่ากายเป็นส่วนเกินชัดมาก กายเป็นของหนักเกินมาจากจิต และเห็นกายคือความคิดแบบมีก้อนหนักๆก้อนนึงแยกต่างหากออกมาจากจิต แล้วมีสายใยบางๆของจิตไปยึดโยงที่กาย สายใยนั้นไม่ต่างจากอาการยึดในทุกเรื่อง เช่น ยึดความคิด ยึดเวทนา จากนั้นกำลังบีอิ้งก็ขึ้นๆลงๆ ขาลงก็ฟุ้งซ่าน ขาขึ้นก็ว่างโล่ง แต่จังหวะที่เปลี่ยนจากฟุ้งซ่านเป้นว่างโล่งก็เห็นอาการคลายความยึดชัดเจน หากยึดความคิดก็จะยังคิดต่อไปไม่หยุดและเนื้อหาสาระก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ และเมื่อหลาย ความคิดก็กลายเป็นควันจางหายไป นอกจากนี้ยังเห็นเจตนาเข้มบ้างอ่อนบ้างสลับกันไป เจตนาที่จะประคอง เจตนาที่จะดับ เจตนาที่จะให้สงบ ยังมีเรื่อยๆตามสไตล์บีอิ้ง ก็เพียงแค่รู้เห็นเท่าที่ได้ค่ะ ที่ไม่ได้คือเผลอใช้กำลังเจตนาเข้าแทรกแทรงไปบ้างค่ะ
|
|
|
Post by nutty Jeezooya on Apr 10, 2023 11:26:08 GMT 7
#การปฏิบัติธรรมทำให้ชีวิตของนัทตี้เปลี่ยนไปอย่างไร อยากเล่าประสบการณ์แชร์ให้เพื่อนๆได้อ่าน หวังว่าคงจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย เรื่องจัดการโทสะ ชีวิตที่นัทตี้ต้องอยู่กับสภาพแวดล้อมของผู้คนที่เต็มไปด้วยแรงโทสะ ใช้คำพูดหยาบคาย หรือตรงไปตรงมา โผงผาง บางกลุ่มบางพวกก็นักเลงหัวไม้ อนุสัยที่นอนเนื่องถูกบ่มเพาะสะสมมายาวนานคือ 1. คิดลบมากกว่าคิดบวก 2. อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย 3. คิดเล็กคิดน้อย หยุมหยิม 4. แม้เหตุการณ์กระทบผ่านไปแต่ปล่อยวางไม่ได้ ยืดเยื้อ ยาวนานข้ามวัน ข้ามเดือน ข้ามปี หรือบางทีความตรึกนึกก็จะผลุบๆโผล่ๆ มาเป็นพักๆ แม้จะผ่านมาเป็นระยะเวลานานหลายปี 5. มีอคติ ตัดสินคนอื่นจากมุมมอง และภาพลักษณ์ภายนอก ในทิศทางที่ไม่ดี มากกว่าทางที่ดี 6. เอาแต่ใจตัวเอง จะเอาอะไรต้องให้ได้อย่างใจ ถ้าไมได้อย่างใจจะทุรนทุราย งุ่นง่าน ใจก็เป็นทุกข์ 7. ทำอะไรต้องเอาให้ได้ ต้องทำให้สำเร็จ มีทิฐิมานะ ทะยานอยาก ไม่ใส่ใจสภาพแวดล้อมหรือผู้คนรอบข้าง 8. พูดจาก็จะออกแนวโผงผาง ตรงไปตรงมา ไม่คำนึงถึงความรู้สึกคนฟัง เห็นข้อผิดพลาดก็ตำหนิติเตียนเค้า ไม่คิดว่าเค้าจะเสียใจหรือไม่ คิดแต่ว่าตำหนิแล้วเค้าจะปรับปรุงตัวเองดีขึ้น มองข้ามความรู้สึกของคนอื่น 9. เมื่อความเห็นของเราถูก ของเราดี ทำเพื่อประโยชน์ส่วนร่วม เพื่อคนอื่น เราเสียสละเพื่อส่วนรวม ก็จะเริ่มมีตัวตน ได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง จุดนี้แหละที่น่ากลัวที่สุด ใครตำหนิไม่ได้ ว่าไม่ได้ เพราะหลงคิดว่าเราทำดีแล้ว เราดีกว่าคนอื่น เราทำประโยชน์ได้มากกว่าคนอื่น 10. ไม่ยอมคน ไม่ก้มหัวให้คน เพราะคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำผิด ไม่ได้ไปนั่งนินทาให้ร้ายใคร ไม่ได้ไปทำร้ายใคร ทำใมต้องมาทำกับฉัน มานินทาฉัน มีความอาฆาต พยาบาท 11. เจอคนที่ไม่ชอบ ก็จะไม่รักษามารยาท สะบัดบ็อบ และไม่เสวนาไม่คบคาสมาคมด้วยเลย ประเภทใครดีมาดีไป ร้ายมาร้ายกลับ ไม่มีความเป็นกลางทางความรู้สึกเลย
ชีวิตก่อนมาปฏิบัติธรรม : เมื่อเกิดผัสสะกระทบจากบุคคลภายนอก หรือเวลาอยากได้อะไรแล้วไม่ได้อย่างใจ 1. ใจจะทุรนทุราย 2. เศร้าหมองมาก หดหู่เป็นวันๆ จิตดิ้นพล่านข้างใน 3. ธาตุเตโช (ความร้อน) แผ่ซ่านไปทั่วกาย 4. ปากสั่น ตัวสั่น 5. ปวดหัวเป็นวันๆ 6. คับแค้นใจเป็นระยะ 7. อาฆาตพยาบาท มีความอยากเอาคืน มีความเจ็บใจ ต้องแก้แค้นเอาให้สาสมที่ทำเรา 8. ปากไว เค้าว่ามาเราด่ากลับ แล้วรู้สึกสะใจ ได้เอาคืนสาสม พูดมาสวนกลับทันควัน 9. อยู่ใกล้คนที่ไม่ชอบ คนที่เห็นแก่ตัว คนชอบเอาเปรียบคนนี้เราจะร้อนรนเอง แบบไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากให้เค้าได้ดีให้สมกับที่เค้าทำกับคนอื่น ทำกับเรา มันเกิดขึ้นภายในใจเราเอง #ชีวิตหลังการปฏิบัติ : 1. เรามีสติมากขึ้น 2. มีสมาธิอัตโนมัติระหว่างวันมากขึ้น 3. สามารถฝึกแยกกาย แยกจิต แยกความคิด ได้แล้ว จุดนี้ทำให้เราไม่เข้าไปยึดโยงกับความรู้สึกทั้งหลายที่กระทบเข้ามา 4. ผลที่ได้จากการเจริญอาณาปานสติ เมื่อเจอผัสสะกระทบ จิตมีเครื่องอยู่มีเครื่องรองรับอารมณ์กระทบนั้นได้ 4.1 สภาวะที่ผัสสะดับทันที : เมื่อเจอคนทำให้โกรธจนพุ่งปรี้ดขึ้น จิตจะจับลมหายใจทันที ความโกรธจะดับลงทันทีเช่นกัน ตอนนี้ปัญญายังไม่เดินนะคะ แค่ระงับอาการโทสะไม่ได้พุ่งออกไปปะทะกับคู่กรณี ตอนที่มีสมาธิมากพอ สภาวะนี้ก็จะอยู่ยาวนานหน่อย แต่เมื่อเรากลับมารู้ตัวทั่วพร้อม อาการโทสะก็จะกลับมาอีกแต่จะบางลง
4.2 สภาวะที่ผัสสะไม่ดับทันที : แต่มีสติและปัญญามาพิจารณา : เมื่อเจอคนที่ทำให้โกรธจนพุ่งปรี้ดขึ้น พอมีโทสะ สามารถจับลมหายใจเข้าออกได้แต่อารมณ์โกรธไม่ลดลง การจับลมหายใจเอาไม่อยู่ แต่พอมีสติกำกับ จึงยังระงับปากไม่ด่าตอบ ระงับกายไม่กระโดดเตะปากเค้า ระงับใจไม่ให้มันร้อนรนพลุ่งพล่านมาก เพราะจิตมันเข้าไปสังเกตรู้ว่า อาการโกรธตัวสั่น ปากสั่น ความร้อนมันแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ใจเต้นแรง กลางอกอึดอัด มืดทึบ แน่นหนักขึ้นมา พอเราเข้าไปรู้อาการตรงนี้ แทนที่จะไปมองปฏิกิริยาของคู่กรณี สภาวะของความโกรธมันบางลงจนหายไป แล้วจะมีตัวหนึ่งดีดขึ้นมาคือ ไม่เอาเรื่องด้วย เห็นความไม่มีสาระในความโกรธนั้น ไม่อยากถือโทษ ไม่อยากถือสา และเห็นว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป พอจุดนี้ ความโล่งว่างกลางออกจะปรากฏขึ้น ความสบายใจจะเข้ามาแทนที่ความคับแน่นกลางอก ใจก็จะโปร่งสบายมากขึ้น เพราะถอนการยึดออก จับลมหายใจเข้าออก พอมันเกิดแบบนี้เหตุการณ์นั้นมันจะดับสนิทไม่มีส่วนเหลือ ต่อให้มีการยุติหรือไม่ยุติ เราก็จะไม่มีแก่ใจเข้าไปยึดในอารมณ์นั้น พูดคุยได้มีสติมากขึ้น ไม่คุยด้วยแรงโทสะ มีเมตตาต่อตัวเองและคู่กรณีมากพอที่จะไม่ถือสา แต่ยังมีการตรึกนึกนานๆ ครั้ง โดยไม่มีความอาฆาตมาดร้ายใดๆ ตามมา เป็นสายลมที่พัดผ่าน
5. พอเราฝึกปล่อยวางผัสสะกระทบจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น อยากกินไม่ได้กินก็ไม่ทุนรนทุราย อยากไปไหนไม่ได้ไปก็ไม่รู้สึกนอยด์ อยู่ใกล้คนที่เราไม่ชอบใจ เราก็ไม่อึดอัด มีคนมาว่ามาด่าเรา ๆก็ไม่โกรธ ถึงโกรธก็รู้ตัวเร็วหายเร็ว การฝึกฝน อดทน อดกลั้น ยอมรับความโกรธที่เกิดขึ้นในตัวเองบ่อยๆ แบบศิโรราบต่อสิ่งที่ปรากฏว่า เอ่อ “ข้าเลว ข้าโกรธ ข้าชั่ว” จริงๆว่ะ มันจะสั่งสมอาการไม่ยึดมากขึ้น ระหว่างวันใจมันก็โปร่งโล่งมากขึ้น อันนี้สังเกตจากสภาพแวดล้อมระหว่างวัน ที่เกิดกับครอบครัว สังคม เพื่อน คนรอบข้าง แม้มันจะมีบ้าง แต่ก็ไม่หนาหนักเหมือนเช่นเคย เหมือนมีคนทะเลาะกันรอบตัวเรา แต่เราเหมือนมีเซฟโซน อยู่ในกล่องแคปซูล คนเดียว ไม่มีอะไรมากระทบกาย กระทบใจให้ทุกข์อีก คะ
สรุปปิดท้าย : 1. มีสติ มีสมาธิ แยกกาย แยกจิต แยกความคิด ได้ 2. มีการยึด การถือสาน้อยลง 3. มีความโล่งว่าง สว่าง ความเบากลางอกระหว่างวันเรื่อยๆ 4. ลมหายใจเข้าออกดับทุกข์ในใจได้ 5. มีความสุข ความสบายใจในชีวิตระหว่างวันมากขึ้น มีความสงบท่ามกลางความวุ่นวาย มีความสุขใจท่ามกลางความทุกขเวทนาได้ 6. มองคนอื่นให้แง่ดี อคติน้อยลง มีเมตตามากขึ้น
อยากเล่าให้ละเอียดที่สุด เพราะเห็นประโยชน์ของการฝึกตามแนวทางครูตุลย์ ครูฮิมคะ
|
|
|
Post by แม่ชีต้นข้าว on Apr 10, 2023 15:07:55 GMT 7
วันที่ 10 เม.ย. 66 รวมญาติรอบบ่ายสอง : รู้ตัวทั่วพร้อมในตอนเดิน รู้ลมสงบนิ่งในตอนนั่ง
|
|
|
Post by Beeying on Apr 11, 2023 10:38:46 GMT 7
วันอังคาร 11 เม.ย. 2566
รวมญาติรอบตีสี่ครึ่งและรอบเก้าโมง
วันนี้จิตมีความเปิดโล่งมากๆ ตั้งแต่สวดมนต์จิตก็จับอยู่ที่ลมเข้าลมออกขณะเปล่งเสียง จิตเปิดรอบทุกทิศจนรู้สึกเหมือนมีดวงจิตกลมๆกำลังเคลื่อนที่แบบไร้ทิศทาง กายเบามากจนรู้สึกเหมือนจะลอยขึ้นมา จังหวะเปิดตาคือรู้สึกเหมือนภาพที่เห็นเป็นอะไรที่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เพียงภาพที่ไม่มีสาระอะไร เวทนาความรู้สึก ความนึกคิดก็รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีสาระอะไร มีบ้างครั้งที่จิตจับความฟุ้งซ่านเกิดเห็นความรู้สึกเป็นจริงเป็นจังกับเรื่องที่คิด เมื่อจิตคลายตัวออกมาก็รู้สึกเหมือนเป็นแค่ก้อนความคิดที่หายกลางเป็นควัน และอัตตาก็เบาบางลงตามก้อนความคิดที่ค่อยๆจางเป็นควันไป มีผัสสะความง่วงความเหนื่อยเข้ามาเป็นระยะๆ ครอบงำได้บ้างไม่ได้บ้าง บางครั้งครอบงำได้จิตก็เหมือนเลื่อนเปื้อนเหม่อลอย แต่บางครั้งที่จิตใหญ่กว่าความง่วงนั้น แต่จิตเริ่มให้ค่าความสำคัญลดลง มองเหมือนเป็นเวทนาหนึ่งก้อนกลางจิต มีความรู้สึกกลางๆบ้างไม่ชอบบ้าง ยามที่ไม่ชอบก็แผ่เมตตาให้เวทนานั้น ก็ทำให้รู้สึกกับเวทนานั้นอย่างเป็นกลางได้มากขึ้น
ระหว่างวัน
ชีวิตระหว่างวันช่วงนี้ยังมีความรู้สึกฟุ้งซ่าน ดิ้นๆอยากคิดอยากพูดคุย เพราะเพิ่งออกจาก openchat ใหม่ๆก็ยังรู้สึกโหยหาในการเม้ามอยแบบเก่าๆ แต่เชื่อว่าหลังจากนี้จะสงบลงและค่อยๆดีขึ้น ช่วงนี้เห็นเจตนาตัวเองแทบจะตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงออกกำลังกายที่ต้องออกแรง บางครั้งในการพูดคุยก็มีเจตนาสีเข้มๆปรากฎขึ้นมากลางจิต เจตนาเหล่านี้เป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดการกระทำต่างๆ และเป็นเบื้องหลังของอัตตา ซึ่งตรงนี้ก็เห็นชัดบ่อยขึ้น ชัดขึ้นในทุกวันค่ะ บางครั้งก็ยังรู้สึกว่าเจตนาไม่ใช่ของเรา บางทีจิตสีเข้มด้วยตัวของมันเองจากการรับผัสสะตามช่องทางอายตนะหก รวมถึงอยู่ดีๆมีความคิดลอยเข้ามาแล้วเกิดการชอบไม่ชอบ ก็มีแรงขับจากเจตนาทำให้จิตหนักขึ้น สีเข้มขึ้นเช่นกันค่ะ
|
|
|
Post by แม่ชีต้นข้าว on Apr 12, 2023 7:25:09 GMT 7
รอบกองไฟ70 : 11เม.ย.66
วันนี้ครูฮิมให้เทียบขันธ์ในกับขันธ์นอก ทำให้เพิ่งเห็นว่าหลงให้ความสำคัญกับอัตตาขันธ์ครูฮิมและมีมานะมาตลอด พอไกด์แล้วก็เห็นเป็นขันธ์เสมอกันได้ แล้วก็ดูขันธ์อื่นเทียบกับเราก็เห็นเป็นก้อนเนื้อเหมือนกัน
|
|
|
Post by พงศ์ on Apr 12, 2023 11:33:52 GMT 7
เช้านี้ พอให้พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เหมือนถอดปลอก ลอกคราบดักแด้เลย รู้สึก สิ่งพวกนี้มันของนอก
|
|
|
Post by Beeying on Apr 12, 2023 11:38:43 GMT 7
วันพุธ 12 เม.ย. 2566
ทางจงกรม
วันนี้มีอาการบีบคั้นจากกลางอกและมีความฟุ้งซ่านมาเป็นระลอกๆ แต่จิตเริ่มมีความเท่าทันได้ไวขึ้น จิตไม่ได้เปิดกว้างเท่าเมื่อวานเพราะกลางอกมีความบีบคั้นที่หนักขึ้น ทำให้จิตกลับมาชำเลืองมองเป็นระยะๆ วันนี้เห็นทุกขเวทนาเป็นก้อนๆ เป็นก้อนที่หนักอยู่กลางจิต คือมุมมองต่อความทุกข์เป็นเหมือนแค่ก้อนนึงที่ไม่ใช่อะไรใหญ่โต เหมือนเกินๆออกมาและเราอยากจะกำจัดทิ้งอยู่ตลอดเวลา ก็แค่ตามรู้ตามดูปฏิกิริยาทางจิต หากไม่เท่าทันและเพราะมันเป็นความรู้สึกบีบคั้น จิตจึงเลือกที่จะไปในโลกความฟุ้งซ่าน ซึ่งเป็นโลกที่เรารู้สึกสบายใจและผ่อนคลาย แต่ห่กรู้เท่าทันก็เห็นภวตัณหาชัดเจน เมื่อเห็นชัดเจนสิ่งนั้นก็ดับไป และความทุกข์ก็ถูกมองเป็นกลางมากขึ้น
ระหว่างวัน
จิตมีความสดใส มีพละกำลังในการทำสิ่งต่างๆมากขึ้น แต่ยังสามารถถูกดูดจากแอฟโซเชี่ยลและพวกคลิปสั้นได้ง่าย ถึงกระนั้นก็รู้ตัวง่ายขึ้น ถอนจากโซเชี่ยลง่ายขึ้นเรื่อยๆ และเวลาที่ให้โซเชี่ยลก็ลดลง เพราะหากจิตหมกไปที่โซเชี่ยลสติจะตามมาบอกว่าพอแล้วง่ายขึ้น มีช่วงนึงที่จิตหมกจมลงไป พอกลับขึ้นมาสภาวะจิตขุ่นๆไปเลย ก็หายใจอานาปานสติซักพัก ก็กลับมาโล่งเบาได้ค่ะ นอกจากนี้ หลังจากออกจากกลุ่ม openchat แล้วในวันที่สอง ก็รู้สึกว่าชีวิตมีความสงบขึ้นมากๆ ไม่คอยแต่จะไปอ่านไปคุยในกลุ่ม จริงๆกลุ่ม openchat เคยช่วยอุ้มชูจิตบีอิ้งมานาน เคยเป็นที่พักใจ เคยเป็นแหล่งของความสุข สว่าง สงบ แต่วันนี้ บีอิ้งต้องสละเรือนี้ทิ้งไปแล้ว เพื่อที่จะต้องเติบโตต่อในขั้นต่อไปค่ะ
|
|
|
Post by แม่ชีต้นข้าว on Apr 12, 2023 15:55:32 GMT 7
รวมญาติรอบบ่าย 12 เม.ย. 66
รอบบ่ายนี้รู้สึกว่าทำได้ดี ตอนเดินอยู่กับกรรมฐานได้ดี รู้กายทั้งกาย รู้ความว่างด้านข้าง ด้านหลัง บนล่าง ตอนนั่งก็รู้ตัวทั่วพร้อม รู้ลม และลองมารู้ที่จิตด้วย และเห็นว่าตอนมีความคิดในเรื่องที่ชอบใจผุดขึ้นในหัว ก็มีโสมนัสผุดขึ้นในจิตสัมพันธ์กันค่ะ
|
|
|
Post by แม่ชีต้นข้าว on Apr 12, 2023 21:03:31 GMT 7
รอบค่ำรู้สึกว่ามีสมาธิดีมากกว่าตอนเช้า เห็นจิตเด่นดวง มีความว่างขาดจากความคิดบางช่วง สักพักเริ่มมีความคิดแล้วคิดตามสักพัก แต่จิตเลือกความว่างในภายหลัง
|
|
|
Post by Beeying on Apr 13, 2023 8:23:22 GMT 7
วันพฤหัส 13 เม.ย. 2566
ทางจงกรม
วันนี้เข้ารอบตีสี่ครึ่ง ครูสอนกรรมฐานแก้นิสัย บีอิ้งก็ทำตามครูสอน แต่วันนี้พิเศษหน่อย เพราะจิตสะสมความเปิดกว้างมาสองสามวันแล้ว ประกอบกับมีคำพูดครูคำหนึ่งที่สะเทือนใจบีอิ้งมากว่า ทุกคนอยากได้แต่นิพพาน แต่จะมีซักกี่คนที่จะทิ้งอัตตา อัตตาเป็นของทิ้งยาก เพราะเราเห็นว่ามันน่ายึด มันเป็นที่ปลอดภัยของเรา บีอิ้งโดยส่วนตัวแล้วจะค่อนข้างทิ้งความเคยชินเก่าๆค่อนข้างยาก เมื่อพบกับความเปลี่ยนแปลงก็มักจะต้องหลบไปทำใจก่อนตลอด คำพูดนี้จึงกระเทือนบีอิ้งมาก เพราะหลายๆครั้งบีอิ้งเห็นนิสัยตัวเอง แต่ก็ยังทำต่อ ยังยึดต่อ ยังไม่ทิ้ง แต่รอบวันนี้ตีสี่ครึ่ง บีอิ้งตัดใจทิ้งเลย มันเป็นความเคยชินที่บีอิ้งมักจะโหยหาช่วงเวลาการได้เข้าไปอยู่ในโลกความคิดของตัวเอง เป้นโลกความคิดที่เราเอนจอยมากว่าจะสร้างอะไรในนั้นก็ได้ มันเป็นพฤติกรรมที่บีอิ้งจะทำเพื่อหลบออกมา ไม่ว่าจะเจอกับทุกขเวทนา หรือแม้กระทั่งสภาวะว่างโล่งบีอิ้งก็จะกลับไปหลบอยู่ดีเพราะความไม่ชิน แต่ครั้งนี้บีอิ้งเลือกจะทิ้ง บีอิ้งไม่หลบ พอทิ้งแล้วเหมือนหลักยึดที่เป็นอัตตาของเราหายวับไป จิตเกิดอาการเคว้งคว้างอย่างมากและบีอิ้งไม่ชอบเอามากๆ บีอิ้งก็มองอาการเคว้งและดิ้นรนของจิต บอกตรงๆว่าเช้านี้ปฏิบัติไม่ได้สภาวะดี เพราะจิตเคว้งนี่แหละ แต่ความเข้าใจเพิ่มขึ้นอย่างมาก มันทำให้บีอิ้งเข้าใจแล้วว่า ก้อนพฤติกรรมเดิมๆของบีอิ้งสร้างภาระให้จิต พอหายไปจิตโหยหา นั่นคือพื้นยืนของอัตตา การละทิ้งไม่ได้ง่ายเลยจริงๆ แต่วันนี้บีอิ้งได้เห็นกับตัวเองทุกกระบวนการแล้ว มันเข้าใจหลายๆคำที่ครูพร่ำสอนมากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนี้บีอิ้งที่ช่วงหลังมานี้เห็นเจตนาของตัวเองแทบจะตลอดเวลา เริ่มเกิดความเข้าใจแล้วว่า พื้นนิสัยเดิมของบีอิ้งมีตัณหาเป็นแรงขับมาก จิตมีอาการทะยานอยากอยู่ตลอด เป็นเด็กอยากประสบความสำเร็จ ความทะยานอยากนี้ช่วยให้ได้สิ่งที่อยากได้ทางโลก แต่จะเสริมอัตตาและตัณหามากขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่ออยากได้แล้วได้ ต่อไปก็ต้องได้ และแม้กระทั่งใครมาขวางทาง ด้วยตัณหาและอวิชชาที่อยู่จะทำให้ขับเคลื่อนให้บีอิ้งฆ่าคนก็เป็นได้ ซึ่งก็คงเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต เรื่องอดีตก็ให้ผ่านไป ก่อนหน้านี้ไม่คิดว่าตัวเองในชาติก่อนๆจะทำได้ แต่วันนี้เชื่อแล้วว่าตัวเองจะทำได้จริงๆ สาระคือบีอิ้งเห็นรากของจิตที่จะพัฒนาให้กระทำกรรมเลวทั้งปวงแล้ว เชื้อของตัณหาตรงนั้น ที่กำเนิดมาจากอัตตาอีกที ถ้ารู้ไม่เท่าทันก็จะขับดันให้บีอิ้งทำกรรมดำได้อีก มันเป็นเชื้อที่วันนี้มีกำลังไม่มาก แต่หากจิตดวงนี้ปล่อยไปตามกรรม เชื้อเหล่านั้นก็พร้อมที่จะกลับมายึดครองจิตบีอิ้งได้ไม่ยากเลย
ระหว่างวัน
เมื่อวานลดความเข้มข้นของการปฏิบัติลง ทำให้บีอิ้งรู้สึกสบายๆมากขึ้น เพราะรู้สึกตึงมากๆแล้ว ส่วนหนึ่งก็เพราะจิตเปิดโล่งติดกันมาหลายวันถึงแม้ใครจะต่อใครจะบอกว่าดี แต่จิตบีอิ้งก็ไม่ชอบอยู่ดี เพราะไม่เคยชินกับมัน ผลของการลดความเข้มข้นลงทำให้สภาวะก่อนนอนมีความขุ่นข้องจากความวุ่นวายทางโลกๆ แต่ก็เป็นที่เข้าใจได้ และทำให้ในวันถัดมาจิตมีความเพียรในการปฏิบัติเพิ่มขึ้นค่ะ
|
|
|
Post by แม่ชีต้นข้าว on Apr 13, 2023 9:59:46 GMT 7
รวมญาติรอบเช้า13เม.ย.
รอบเช้าวันนี้สงบกว่าเช้าเมื่อวานและตั้งใจมากกว่าเนื่องด้วยบรรยากาศของวันที่สมมติว่าเป็นมงคลเป็นการเริ่มต้นใหม่ แต่ก็ยังมีความคิดอยู่ เกี่ยวกับกิจการกินที่ยังไม่เสร็จก่อนเที่ยง แต่หลังเที่ยงก็ไม่ได้คิดแล้ว ช่วงบ่ายและค่ำจึงสงบกว่า รู้กายและรู้จิตตอนเดินไป เเละเห็นความคิดผุดขึ้นก็ลากตัวเองกลับมาที่กรรมฐานได้ค่ะ
|
|
|
Post by แม่ชีต้นข้าว on Apr 13, 2023 16:00:52 GMT 7
รวมญาติบ่าย13เม.ย. ตอนเดินอยู่กับกรรมฐานได้ปกติ แต่มีบางช่วงที่รู้สึกว่าการรับรู้ไม่เท่าเดิม ก็รู้สึกอยากให้มันรู้ได้เหมือนเดิม แล้วก็มีสติรู้ว่ากำลังอยากได้สภาวะดีๆแบบเก่า แล้วมันก็เลิกอยาก ก็กลับมารู้เฉยๆ ได้ดีขึ้น และเห็นว่าธาตุรู้ก็ไม่เที่ยง และเราไม่จำเป็นต้องรู้ได้เป๊ะๆเหมือนเดิมทุกครั้ง เพราะมันมีเหตุปัจจัยหลายอย่าง ตอนนั่งลองดูจิตไปด้วย เห็นแสงสว่างออกมาจากกลางตัว (ปกติจะนั่งแบบดูกายกับลมอย่างเดียว)
|
|
|
Post by Beeying on Apr 14, 2023 11:37:04 GMT 7
วันศุกร์ 14 เม.ย. 2566
ทางจงกรม
เมื่อจิตสงบจากเจตนามากขึ้น จิตจึงเห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลา บางทีผัสสะที่เกิดขึ้น เช่นมีความบีบคั้น ความบีบคั้นตรงนั้นไม่ได้คงที่ตลอด มีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆทีละเล็กทีละน้อย มันไม่ใช่แค่หนักขึ้นหรือจางลง แต่ลักษณะเปลี่ยนไปด้วย บางทีก็ผสมโรงกับเวทนารูปแบบต่างๆ บางทีก็ผสมกับสังขารขันธ์ปรุงแต่งเปลี่ยนแปรไปเรื่อยๆ หากเราใส่เจตนาที่จะทำให้เกิดปิติ ก็จะบังเกิดเป็นสภาวะที่มีความสุขอ่อนๆห่อหุ้มผัสสะความบีบคั้นตรงนั้น ทุกอย่างเปลี่ยนแปรตลอดและจริงๆเราทำอะไรไม่ได้เลย ก่อนหน้านี้คิดว่าทำได้เพราะเจตนาเราเข้ม เข้มจนจิตรู้แต่เจตนาแล้วก็คิดว่าเราสามารถควบคุมได้ทุกอย่าง จริงอยู่ที่เจตนาทำให้บังเกิดผลบางอย่าง แต่เจตนาเป็นเพียงปัจจัยเดียวเท่านั้น จิตที่เปลี่ยนแปรไปนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปแบบที่เราควบคุมได้เลย
ระหว่างวัน
เมื่อวานมีอาการเหนื่อย จิตโดยรวมจึงไม่ค่อยใสมาก แต่ก็ใช้ชีวิตประจำวันไปแบบตามปกติ ตอนทำงานจิตทะยานอยากลดลงด้วยเข้าใจมากขึ้นว่า ต่อให้ทะยานอยากแค่ไหนก็เป็นแค่ส่วนเกิน เราสามารถใช้ชีวิตแบบสงบๆเรียบง่ายได้โดยที่การงานไม่ได้เสีย รู้สึกมองอะไรตรงทางมากขึ้น เลือกสรรอะไรให้ตัวเองได้ถูกต้องมากขึ้น แม้กระทั่งทำน้ำปั่นทานเอง ยังรู้สึกว่าทำได้รสชาติไม่แย่ เหมือนเราพอรู้ว่าต้องปรุงอะไรยังไงเท่าไหร่จึงจะออกมาใช้ได้ค่ะ
|
|
|
Post by Beeying on Apr 15, 2023 10:47:50 GMT 7
วันเสาร์ 15 เม.ย. 2566
ทางจงกรม
วันนี้ตื่นมาจิตคลายตัวและมีความสงบ ไร้ตัวตนตีสี่ครึ่ง จิตมีความหลอมรวมกับพลังงานทุกอย่างที่อยู่รายล้อม มีความรู้สึกเป็นอนัตตา หากมีความคิดเข้ามาจะมองเห็นเป็นเหมือนก้อนฟอร์มตัวขึ้นมากลายเป็นอัตตา บางครั้งมีความรู้สึกที่ไม่สมูทบ้าง เหมือนมีก้อนหินขวางทางการไหลของพลังงาน ผัสสะถูกมองเหมือนก้อนๆนึงที่ไร้สาระ คือไม่ได้รู้สึกว่าบีอิ้งถูกกระทำเลย มีความรู้สึกแต่เพียงว่ามันคือก้อนหินข้างทางก้อนนึงที่อยู่ในทัศนวิสัยความรับรู้ของเราเท่านั้น จากนั้นช่วงรวมญาติเก้าโมง จิตมีความสงบบีอิ้งจึงเดินเองคนเดียวโดยใช้เสียงสติ จิตมีความว่างจนโลกนี้ไม่มี เห็นอาการพฤติกรรมของจิตหมุนเวียนผ่านไป คิดบ้าง ตัณหาบ้าง ภวตัณหาบ้าง จิตมีความว่างจนรู้สึกว่าจริงๆกระแสที่ไหลมันไม่ได้ไหลแบบโฟลจริงๆ แต่มีช่วงเกิดดับ มีช่วงวูบแล้วกลับมาใหม่ ตรงนี้เห็นไม่ชัดและยังใช้ความคิดช่วย แต่รู้สึกรางๆว่ามันไม่ได้เป็น continuous แต่มันเป็น discrete หมายความว่าที่เป็นไหลเป็นสายจริงๆไม่ใช่ มันเกิดๆดับๆติดกันและหลอกให้เราคิดว่าไหลเป็นสาย แต่เนื่องจากเห็นรางๆ จิตยังมีอาการเพ่งเข้าไป ควานหาเข้าไป อยากเห็นให้ชัดๆ ในภาวะตรงนั้นรู้สึกว่าทุกอย่างล้วนไร้สาระ มีความเป็นอุเบกขา นิ่ง สงบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เวทนาสุขทุกข์เป็นของเท่ากัน คือมีลักษณะเป็นก้อนเหมือนกัน ก้อนสุขจะรู้สึกว่าน่ายินดี ก้อนทุกข์จะรู้สึกไม่น่ายินดี แต่ด้วยลักษณะคือเป็นก้อนเช่นเดียวกัน
ระหว่างวัน
มีอาการทะยานอยากลดน้อยลงไปมากๆ จิตเริ่มไม่เห็นสาระที่จะเอาชีวิตนี้ไปต่อสู้เพื่อเงินทอง ชื่อเสียง ลาภยศ อะไรต่างๆ มันเป็นของไร้สาระมากๆ และจิตก็ขี้เกียจจะใส่เจตนาวิ่งเข้าชนเป้าหมายใดๆ เพราะมีแต่จะเหนื่อยฟรี เสียพลังฟรี ทุกอย่างมันไหลไปอย่างสบายๆแบบนี้ดีอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ไปสบายๆแบบดูดาย ไปแบบเรารู้ว่าเราทำอะไรได้บ้าง ในช่วงเวลาไหน ทำเสร็จก็ปล่อย ไม่ยึดถือเอามาให้หนักจิต จิตมีความสงบมากขึ้นเรื่อยๆหลังออกจาก openchat เพราะห่างไกลจากปัจจัยที่ทำให้จิตดวงนี้คอยแต่จะไปวุ่นวาย คอยแต่จะไปพูดคุยค่ะ
|
|
|
Post by Beeying on Apr 16, 2023 7:12:28 GMT 7
วันอาทิตย์ 16 เม.ย. 2566
ทางจงกรม
ช่วงนี้จิตได้รับผัสสะที่รับมือยาก นั่นคือความรู้สึกเหนื่อยและง่วงมากๆขณะเดิน มีความรู้สึกปั่นป่วนเล็กๆกลางอกด้วย ผัสสะอื่นที่เรารับมือได้ เราจะมองเป็นก้อนหินที่ใหญ่บ้างเล็กบ้าง แต่ผัสสะนี้มันใหญ่จนมาครอบคลุมการรับรู้ของเราทั้งหมด ให้ความรู้สึกที่สมจริง มีความอินเข้าไป ทำให้บีอิ้งเปิดคำถามว่า ทำไมแต่ละผัสสะจึงไม่เท่ากัน มีลักษณะใหญ่เล็กและส่งผลกระทบต่อเราไม่เท่ากัน และเมื่อพยายามนไล่เรียงจากประสบการณ์และคำครูที่เคยพูดๆมา ก็ได้คำตอบมาว่า เพราะจิตมีอาการยึดในแต่ละผัสสะไม่เท่ากันนั่นเอง ดวงจิตทุกดวงมีการเดินทางอยู่ตลอดเวลา ทางสายกลางคือเส้นทางที่จิตไม่ยึดเอาอะไรมาเป็นสาระเลย แต่บางอย่างระหว่างทางมันน่าดึงดูด มันน่าล่อใจจนดวงจิตทุกดวงนี้หลงและเดินออกจากเส้นทางสายกลางนี้ แทบทุกดวงจิตหลงจนไปสร้างโลกใหม่ที่ริมทางและขังตัวเองไว้ในนั้นหลุดออกมาไม่ได้เลย ดวงจิตที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีก็จะหลงบ้างชั่วครั้งชั่วคราว แล้วสามารถไปต่อได้เรื่อย อุปสรรคหรืออะไรที่มาขวาง ก็เหมือนกับเป็นทางที่ชันขึ้นเท่านั้น สุดท้ายถ้าเราปีนต่อ ไม่หันเหออกนอกทางเพื่อหลบเลี่ยง เดี๋ยวเนินเขาลูกนั้นก็จะผ่านพ้นไป ไม่ว่าเขาลูกนั้นจะสูงแค่ไหน เรื่องราวเหล่านี้ วันนี้จิตบีอิ้งได้รู้ซึ้งและได้ตกผลึกจนเข้าใจค่ะ
ระหว่างวัน
ระหว่างวันวันนี้พยายามทำงาน แต่เจอผัสสะง่วงเข้าโจมตี จึงเล่นโซเชี่ยลบ้าง และวันนี้ก็มีช่วงที่ทำงานแล้วถูกงานดูดติดเข้าไปจนโลกของเรามีแต่เรื่องงาน ถ้าเป็นแต่ก่อนคงเป็นเรื่องปกติ แต่วันนี้มองเห็นเป็นแรงยึดที่ดูดเราเข้าไป ทำให้เราตึงเครียด มีความตื่นตัวสูง มีความพุงทะยานอยากมาก จริงๆเราสามารถทำงานไปด้วยจิตที่สบายๆก็ได้ แต่ตัณหาในตัวตนก็ขับเคลื่อนให้อยากได้งาน อยากได้เงิน หรือเสพอารมณ์ที่เห็นงานเสร็จ เมื่อเสร็จแล้วก็อยากจะเสพอารมณ์แบบนั้นอีก คนที่บ้างานจึงทำงานไม่หยุด ไม่ใช่เพราะงานเยอะ แต่เป็นเพราะอยากเสพอารมณ์ขณะทำงานไปเรื่อยๆนั่นเอง และวันนี้ก็เห็นกระบวนการเหล่านี้อย่างชัดเจนขึ้น จึงเข้าใจว่า ชีวิตในสังสารวัฎ ช่างไม่มีสาระเอาเลยเสีย มันไม่มีวันหยุดสิ้นและน่าเบื่อมากๆจริงๆค่ะ
|
|
|
Post by Beeying on Apr 17, 2023 10:44:10 GMT 7
วันจันทร์ 17 เม.ย. 2566
ทางจงกรม
เนื่องจากเมื่อวานมีไปขลุกทางโลกมากหน่อย และทานบุฟเฟต์แล้วนอนไม่ดี ทำให้รอบตีสี่ครึ่งตื่นมาทำไม่ไหว และเข้าไลฟ์รอบเก้าโมงมีความฟุ้งยุ่งปั่นป่วนกว่าที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้รู้สึกไม่ชอบ รู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติที่วันนี้จิตจะยู่ยี่ แต่สิ่งที่ท้าทายคือ ปกติเวลาจิตยู่ยี่จิตจะเลือกข้างฟุ้งซ่าน การใช้เวลาไปกับการคิดฟุ้งยุ่งมันช่างหอมหวลอย่างยิ่ง แต่ในจังหวะที่สติเรารู้ทัน เรามีสิทธิ์ในการเลือกข้างว่าจะเอาฟุ้งหรือโล่งเป็นเรื่องท้าทายมากๆ วันนี้บางทีก็แพ้ให้กับความฟุ้ง แต่บางทีต้องทำไว้ในใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะทิ้ง ก็จะเลือกข้างความโล่ง แค่ความฟุ้งที่เป็นส่วนหนึ่งของอัตตาตรงนี้ ก็ยังไม่ได้ทิ้งกันง่ายๆเลย สิ่งที่เรายังต้องทำยังต้องเจริญมีอีกมากจริงๆค่ะ
ระหว่างวัน
ระหว่างวันมีการไปขลุกทางโลก แทบไม่ค่อยได้ภาวนาเลย แต่ว่ารู้สึกว่าผัสสะบางอย่างที่เรามีกิริยาออโต้ เราก็ยึดลดลง สติแข็งแรงขึ้นจนสามารถเลือกการโต้ตอบให้กลายเป็นบวกมากขึ้นในชีวิตค่ะ
|
|
|
Post by เบนซ์ ครับ on Apr 17, 2023 14:45:09 GMT 7
เดินจงกรมตอนกลางคืน 16/4/66 วันนี้เป็นวันที่หลงให้กลับกิเลสทางโลกมากวันหนึ่ง อาจเพราะสองสามวันนี้มีวิบากทางด้านความคิดเข้ามา จิตใจอ่อนแอ เลยอยากขอปล่อยตัว ปล่อยใจไปกับโลกบ้าง(แต่จิตก็ไปเสพแบบกักๆไม่เต็ม100) วันนี้ที่เดินก็เดินโดยความเป็นกิจวัตรประจำวันที่ทำ ไม่ได้ตั้งมุมมองหรือคาดหวังอะไรมาก แอบเปิดใจยอมรับวิบากทีาจะต้องเจอกับการปล่อยตัวปล่อยใจให้กับกิเลสแบบโลกๆ
เดินช่วงแรกก็มึนๆ+เริ่มง่วงนิดหน่อย เพราะเดินห้าที่มกว่า เดินสักพักเริ่มสว่าง และก็จ้า ซะอย่างงั้น พอเป็นแบบนี้ก็เลยเกิดความสงสัย เอ่ยังไงวันนี้ทั้งวันหมกหมุ่นกับกิเลส ทำไมมันถึงสว่าง สักพักก็เลิกสงสัย และเลือกที่จะดูสภาพวะที่มันปรากฎตรงๆแบบนี่แหละ เดินไปสักพักมันก็ยังสว่าง ตั้งมุมเห็นขันธ์ พิจารณาที่ชัดคือ ร่างกาย= ก็สว่าง ไม่มีหน้าตา เดินไปมา อัตโนมัติ เวทนา = เห็นความชอบใจความสว่าง และเริ่มเฉยกับความสว่าง จิต = เห็นไอ้ตัวที่มันไปรับรู้สิ่งอื่นๆ รู้ตัวเองบ้าง รู้ร่างกายบ้าง รู้ความสุขบ้าง เปลี่ยนไปมา
ที่นี้เลยลองใช้ความคิดนำ พิจารณาว่า ขันธ์แต่ละส่วนที่เห็นมาเมื่อสักครู่นี้ หากมีการแยกออกเป็นส่วนๆ ขณะนี้ใจยังยึดว่าเป็นเราไหม ขณะนั้น ความรู้สึกว่าเมื่อคิดและพิจารณาแยกขันธ์เป็นส่วนๆตามด้านบน ไม่เกิดความรู้สึกยึดแหะ ใช้ความคิดนำต่อว่า หากเดินๆอยู่แล้วแต่ละขันธ์หายไป ตัวเราก็หายไปเลยนะ ความรู้สึกก็เฉยๆ
เลยเกิดมุมมองในการพิจารณาขึ้น โดยใช้ความคิดนำ แต่ก็มีข้อสังเกตกับตัวเองว่าถึงแม้จะใช้ความคิดนำ จิตก็ต้องมีความเปิดก่อน และความคิดก็ต้องน้อยหรือไม่มี กากยังฟุ้งอยู่มาก แล้วเอาความคิดนำมาพิจารณาธรรมก็จะตีกันมั่ว
กราบอาจารย์ทั้งสองท่าน กราบสหธรรมมิกทุกท่าน หมายเหตุ หากมีความผิดพลาดในดารเข้าใจสภาพวะที่คลาดเคลื่อนหรือสื่อความที่ไม่ถูกต้อง ขออภัยทุกท่านด้วย และตัวผมเองก็ไม่กล้ารับรองว่าสิ่งที่เห็นที่พิจารณาถูกต้องตรงทางทุกอย่างหรือไม่ ขอบพระคุณครับ
|
|
|
Post by แม่ชีต้นข้าว on Apr 17, 2023 18:48:50 GMT 7
สองวันนี้หลังจากดูจิตครูฮิมและครูตุลย์ไปด้วยในตอนเดิน(จากการฟังเสียงครูเป็นสื่อ) ก็เกิดความสุขล้นหลามในจิตใจและโล่งเบาตลอดการเดินค่ะ
|
|
|
Post by แม่ชีต้นข้าว on Apr 17, 2023 20:34:33 GMT 7
เดินค่ำนี้รู้สึกโล่งว่างจากแกนกลางสุขสงบจิตรวมดวงเด่นชัดค่ะ
|
|
|
Post by Beeying on Apr 18, 2023 11:45:41 GMT 7
วันอังคาร 18 เม.ย. 2566
ทางจงกรม
ช่วงนี้ถูกโจมตีมากขึ้น ให้รู้สึกเหนื่อย รู้สึกง่วง เนื้อตัวร้อนทุรนทุราย มีแสงมาส่องจ้าให้แสบตาบ้าง ก็พยายามเรียนรู้ว่าจิตเหล่านี้ก็แค่จิตดวงนึง เวลาจิตมีอาการง่วง หนัก ทึบ มันจะมีสภาพลอยๆเหมือนฝัน ซึ่งภาวะโมหะหนักที่มากดทับเนี่ย จะทำให้เราขาดสติได้ง่ายมากๆ เพราะรู้สึกมัวๆเมาๆ หนักๆทึบๆ จะหลับไม่หลับ จะเข้าภวังค์ไม่เข้าภวังค์ ภาวะกึ่งๆแบบนี้สมัยก่อนเป็นอะไรที่เหนื่อยจิตพอสมควร ที่จะต้องต่อสู้ถ่างสติให้อยู่ สุดท้ายก็แพ้ตลอด แต่หลังๆมาบีอิ้งยอมรับกับภาวะจิตพวกนี้มากขึ้น เราก็แค่ดูไม่ต้องไปสู้อะไร สติหลุดบ้างกลับมาบ้างก็ปล่อยเค้าไป แต่ก็ต้องทำไว้ในใจว่า จะพยายามรู้ตัวให้มากที่สุด จะไม่ยินยอมปล่อยไหลให้ไปมัวเมาในโลกความฝันอันฟุ้งซ่าน ซึ่งพอทำอะไรน้อยลงก็กลับจะครองสติได้นานขึ้น และรู้สึกดีกับตัวเองที่ผ่านด่านที่เคยแพ้ทางหนักมากมาอีกขั้นนึง
ระหว่างวัน
ระหว่างวันแพ้โซเชี่ยลมากๆ เผลอกดเข้าแอฟถอนตัวออกไม่ได้ แต่ว่าเวลาที่หลุดเข้าไปลดลงเรื่อยๆ จากนี้จะบอกกับตัวเองว่า จะไม่ขอกดเข้าไปดูอะไรใดๆพวกนี้อีก สติจะได้ไม่ถูกปู้ยี่ปู้ยำ เสียงเพลงตึ๊ดต่างๆไม่เข้ามารบกวนบนทางจงกรมค่ะ
|
|
|
Post by แม่ชีต้นข้าว on Apr 19, 2023 6:26:51 GMT 7
รอบกองไฟ71: ตอนเดินรู้สึกว่างโหวงหวิวมากๆเลยค่ะ
|
|
|
Post by Beeying on Apr 19, 2023 10:47:02 GMT 7
วันพุธ 19 เม.ย. 2566
ทางจงกรม
เมื่อวานหมดพลังมากๆ โดนโจมตีมาสามวันติดและนอนไม่ดีเลย แต่ก็พยายามขุดตัวเองมาเข้ารวมญาติและเข้ารอบกองไฟ ตอนแรกสภาพคือนอนป้อแป้บนโซฟา และกะจะนั่งสมาธิเพราะไม่มีแรงมากๆ แต่เพราะพลังกลุ่มและการแผ่เมตตา ทำให้บีอิ้งรู้สึกมีพลังฟื้นคืนชีพ สามารถเดินได้อย่างมีพลังและเดินจนจบเซสชั่นชั่วโมงครึ่ง มันเป็นประสบการณ์ที่เปลี่ยนความคิดบีอิ้งไปตลอดกาลว่า ความเหนื่อย ความโรยรา บางทีมันเป็นแค่ความรู้สึกของเรา หากกำลังกายยังมี ก็สามารถมีกำลังใจทำสิ่งต่างๆต่อได้หากหายใจเป็น และครูฮิมก็เมตตาไกด์ให้บีอิ้งจัดการกับเวทนาที่มีต่อผัสสะ บีอิ้งก็เอามาใช้กับไลฟ์เช้านี้ แล้วเห็นปฏิกิริยาอัตโนมัติในเวทนาขันธ์ของตัวเองชัดเจนขึ้น ตรงนั้นมันปรุงให้บีอิ้งรู้สึกเหนื่อย ต่อเมื่อรู้ทันแล้ว ก็มีความรู้สึกเหนื่อยลดลงไปมาก ก็จะพยายามฝึกต่อไปค่ะ
ระหว่างวัน
เนื่องจากหมดแรงมากๆ แรงต่อต้านกับโซเชี่ยลเลยน้อย แพ้มาก แต่สติก็กลับมาตัดได้เร็วขึ้น ตัวเองสามารถเลือกที่จะเสพสื่อธรรมะได้ไม่หมกจมอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ช่วงนี้มีอะการร้อนที่เกิดจากผัสสะ และความร้อนตรงนี้ทำให้รู้สึกทุรนทุราย ทำให้การนอนกลางวันไม่สามารถทำได้ ก็ปล่อยไป และไม่ได้ทุกข์กับมันมาก บางทีแค่พักหน่อยก็กลับมาทำกิจกรรมต่างๆต่อได้แล้ว ต่างจากแต่ก่อนที่เปื่อยไปเลยทั้งวันค่ะ
|
|