Post by dungtrin on Mar 6, 2023 14:51:12 GMT 7
อรุณสวัสดิ์เช้าวันมาฆบูชา
วันแห่งการประกาศศาสนาของพุทธเรานะครับ
สมัยเด็กๆผมงงมาก
เมื่อต้องทำข้อสอบวิชาศีลธรรม
แล้วตำราบอกว่า วันสำคัญหนึ่งของพุทธศาสนา
คือวันที่พระสงฆ์สาวกมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย
เป็นจำนวน ๑,๒๕๐ รูป
โตขึ้นมาจนสามารถอัพเดทความรู้ได้จึงหายงง
คือรู้ว่าวันมาฆบูชา
แง่สำคัญไม่ได้อยู่ตรงที่มีพระมาประชุมกันเยอะ
แต่เป็นวันประกาศศาสนาต่างหาก
อะไรที่สืบๆกันมานาน
จนกลายเป็นความเชื่อที่ตั้งมั่นนั้น
ยากที่จะอัพเดทกันใหม่
อย่างเช่นวันมาฆบูชา
พอจำว่าพระมาเจอกันโดยมิได้นัดหมาย
ก็กลายเป็นที่จดจำตามถนัดของแต่ละคน
เช่นยุคเรา ถ้าเอาตามภาษาผู้ใหญ่หน่อย
ก็บอกว่าเป็นวันแห่งการแสดงความจงรักภักดี
แต่ถ้าเอาตามภาษาวัยรุ่นหน่อย
ก็อาจบอกว่าวันนี้คือวันแห่งความบังเอิญ
หรือกระทั่งเลยเถิดไปเป็นวันแห่งความรัก
อย่างที่เคยมีกระแสความพยายาม
ที่จะยกวันมาฆบูชาให้เป็นวันแห่งความรัก
ทำนองเดียวกับที่ศาสนาอื่นมีวันวาเลนไทน์ไปนั่น
ถ้าเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่
ทำความเข้าใจว่า
วันมาฆบูชาเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แจ้งแล้ว ๙ เดือน
วันนั้นเป็นวันที่พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์
คือขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๓
ซึ่งทางศาสนาพราหมณ์จะบูชาพระศิวะกัน
โดยล้างบาปด้วยน้ำ
เราก็จะพอจับเค้าได้ว่า
วันนั้นไม่ใช่วันแห่งความบังเอิญ
แต่ในทางธรรมชาติน่าจะเป็นวันทรงพลัง
ซึ่งก็สมควรแสดงพลัง
โดยเลือกเอาพระสาวกผู้มีพลังสูงสุด
คือ เป็นผู้มีอภิญญา ๖
มีทั้งฤทธิ์เดชอันเป็นโลกียะ
และมีทั้งความบริสุทธิ์แห่งจิตอันเป็นโลกุตตระ
มาเป็นตัวแทน มาเป็นหลักฐาน
มาเป็นพยานให้กับพระพุทธเจ้า
ด้วยวิธีที่รู้กันว่าเป็นการแสดงความเหนือธรรมดา
มาประชุมกันโดยไม่ต้องนัดหมายเป็นคำพูด
แต่ทราบกันด้วยใจว่า วันนี้แหละ
เหมาะแล้ว ควรแล้ว ที่พระอรหันต์ระดับสูงสุด
ที่พระพุทธเจ้าอุปสมบทให้ด้วยพระองค์เอง
จะได้อภิสิทธิ์มาประชุมกัน
ถวายบูชาต่อเบื้องพระพักตร์ด้วยกันเงียบๆ
ศาสนาหนึ่งๆจะเกิดขึ้นอย่างบริบูรณ์ได้
ไม่ใช่ว่าพระศาสดาอุบัติขึ้นมาสอน
แล้วก็จะถือว่าพระศาสนาเกิดแล้ว ตั้งมั่นแล้ว
อย่างถ้าว่ากันจริงๆ
ก็ต้องว่า ศาสนาพุทธเกิดขึ้นในโลกครบองค์
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระอรหันต์องค์แรก
กับทั้งแสดงพระธรรมให้เป็นที่ปรากฏ
กระทั่งเกิดอริยสาวก
อันได้แก่พระอัญญาโกณฑัณญะ
พูดง่ายๆว่าพอพระอัญญาโกณฑัญญะ
ท่านพบนิพพาน เป็นพยานยืนยันว่านิพพานมีจริง
แม้รู้แจ้งเพียงในระดับโสดาปัตติผล
ก็ถือว่าศาสนาพุทธเกิดขึ้นแล้ว
แต่ที่จะใหญ่พอ
มีพลังบารมีขนาดประกาศพระศาสนาได้
ต้องมีพยานมากพอ
ระดับที่หันไปทางไหน
ก็เจอความสุกสว่างปานพระอาทิตย์
ระดับพระอรหันต์อภิญญา ๖
ซึ่งก็ได้แก่วันทรงพลังที่เหมาะแก่การบูชา
อย่างเช่นวันมาฆบูชานี่เอง
สิ่งที่เป็นร่องรอยสำคัญในการประกาศศาสนา
ก็คล้ายการประกาศนโยบายบริษัท
เพื่อให้คนในบริษัทท่องไว้ตรงกัน
ทางพุทธเรา นโยบายดังกล่าวมีชื่อว่า
โอวาทปาฏิโมกข์
ซึ่งมีทั้งหลักปฏิบัติ เช่น
ไม่ทำบาป ทำแต่บุญ
เพื่อยังจิตให้บริสุทธิ์ได้ด้วยการภาวนาในขั้นสุดท้าย
นอกจากนั้นก็ยังมีนโยบายเผยแผ่พระสัทธรรม
เช่น อย่าไปว่าร้ายโจมตีความเชื่อใคร
ให้สำรวมในการบริโภค ไม่เป็นผุ้สะสม เป็นต้น
เดิมวันมาฆบูชาไม่ใช่วันสำคัญทางศาสนาในไทย
แต่เมื่อรัชกาลที่ ๔ ท่านเห็นว่าสำคัญ
วันนี้จึงกลายเป็นวันสำคัญขึ้นมา!
วันแห่งการประกาศศาสนาของพุทธเรานะครับ
สมัยเด็กๆผมงงมาก
เมื่อต้องทำข้อสอบวิชาศีลธรรม
แล้วตำราบอกว่า วันสำคัญหนึ่งของพุทธศาสนา
คือวันที่พระสงฆ์สาวกมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย
เป็นจำนวน ๑,๒๕๐ รูป
โตขึ้นมาจนสามารถอัพเดทความรู้ได้จึงหายงง
คือรู้ว่าวันมาฆบูชา
แง่สำคัญไม่ได้อยู่ตรงที่มีพระมาประชุมกันเยอะ
แต่เป็นวันประกาศศาสนาต่างหาก
อะไรที่สืบๆกันมานาน
จนกลายเป็นความเชื่อที่ตั้งมั่นนั้น
ยากที่จะอัพเดทกันใหม่
อย่างเช่นวันมาฆบูชา
พอจำว่าพระมาเจอกันโดยมิได้นัดหมาย
ก็กลายเป็นที่จดจำตามถนัดของแต่ละคน
เช่นยุคเรา ถ้าเอาตามภาษาผู้ใหญ่หน่อย
ก็บอกว่าเป็นวันแห่งการแสดงความจงรักภักดี
แต่ถ้าเอาตามภาษาวัยรุ่นหน่อย
ก็อาจบอกว่าวันนี้คือวันแห่งความบังเอิญ
หรือกระทั่งเลยเถิดไปเป็นวันแห่งความรัก
อย่างที่เคยมีกระแสความพยายาม
ที่จะยกวันมาฆบูชาให้เป็นวันแห่งความรัก
ทำนองเดียวกับที่ศาสนาอื่นมีวันวาเลนไทน์ไปนั่น
ถ้าเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่
ทำความเข้าใจว่า
วันมาฆบูชาเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แจ้งแล้ว ๙ เดือน
วันนั้นเป็นวันที่พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์
คือขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๓
ซึ่งทางศาสนาพราหมณ์จะบูชาพระศิวะกัน
โดยล้างบาปด้วยน้ำ
เราก็จะพอจับเค้าได้ว่า
วันนั้นไม่ใช่วันแห่งความบังเอิญ
แต่ในทางธรรมชาติน่าจะเป็นวันทรงพลัง
ซึ่งก็สมควรแสดงพลัง
โดยเลือกเอาพระสาวกผู้มีพลังสูงสุด
คือ เป็นผู้มีอภิญญา ๖
มีทั้งฤทธิ์เดชอันเป็นโลกียะ
และมีทั้งความบริสุทธิ์แห่งจิตอันเป็นโลกุตตระ
มาเป็นตัวแทน มาเป็นหลักฐาน
มาเป็นพยานให้กับพระพุทธเจ้า
ด้วยวิธีที่รู้กันว่าเป็นการแสดงความเหนือธรรมดา
มาประชุมกันโดยไม่ต้องนัดหมายเป็นคำพูด
แต่ทราบกันด้วยใจว่า วันนี้แหละ
เหมาะแล้ว ควรแล้ว ที่พระอรหันต์ระดับสูงสุด
ที่พระพุทธเจ้าอุปสมบทให้ด้วยพระองค์เอง
จะได้อภิสิทธิ์มาประชุมกัน
ถวายบูชาต่อเบื้องพระพักตร์ด้วยกันเงียบๆ
ศาสนาหนึ่งๆจะเกิดขึ้นอย่างบริบูรณ์ได้
ไม่ใช่ว่าพระศาสดาอุบัติขึ้นมาสอน
แล้วก็จะถือว่าพระศาสนาเกิดแล้ว ตั้งมั่นแล้ว
อย่างถ้าว่ากันจริงๆ
ก็ต้องว่า ศาสนาพุทธเกิดขึ้นในโลกครบองค์
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระอรหันต์องค์แรก
กับทั้งแสดงพระธรรมให้เป็นที่ปรากฏ
กระทั่งเกิดอริยสาวก
อันได้แก่พระอัญญาโกณฑัณญะ
พูดง่ายๆว่าพอพระอัญญาโกณฑัญญะ
ท่านพบนิพพาน เป็นพยานยืนยันว่านิพพานมีจริง
แม้รู้แจ้งเพียงในระดับโสดาปัตติผล
ก็ถือว่าศาสนาพุทธเกิดขึ้นแล้ว
แต่ที่จะใหญ่พอ
มีพลังบารมีขนาดประกาศพระศาสนาได้
ต้องมีพยานมากพอ
ระดับที่หันไปทางไหน
ก็เจอความสุกสว่างปานพระอาทิตย์
ระดับพระอรหันต์อภิญญา ๖
ซึ่งก็ได้แก่วันทรงพลังที่เหมาะแก่การบูชา
อย่างเช่นวันมาฆบูชานี่เอง
สิ่งที่เป็นร่องรอยสำคัญในการประกาศศาสนา
ก็คล้ายการประกาศนโยบายบริษัท
เพื่อให้คนในบริษัทท่องไว้ตรงกัน
ทางพุทธเรา นโยบายดังกล่าวมีชื่อว่า
โอวาทปาฏิโมกข์
ซึ่งมีทั้งหลักปฏิบัติ เช่น
ไม่ทำบาป ทำแต่บุญ
เพื่อยังจิตให้บริสุทธิ์ได้ด้วยการภาวนาในขั้นสุดท้าย
นอกจากนั้นก็ยังมีนโยบายเผยแผ่พระสัทธรรม
เช่น อย่าไปว่าร้ายโจมตีความเชื่อใคร
ให้สำรวมในการบริโภค ไม่เป็นผุ้สะสม เป็นต้น
เดิมวันมาฆบูชาไม่ใช่วันสำคัญทางศาสนาในไทย
แต่เมื่อรัชกาลที่ ๔ ท่านเห็นว่าสำคัญ
วันนี้จึงกลายเป็นวันสำคัญขึ้นมา!