|
Post by U on Feb 27, 2023 10:22:55 GMT 7
พื้นที่สำหรับให้เพื่อน ๆ รายงานสภาวะต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติภาวนา ไม่ว่าจะระหว่างไลฟ์กับครู รวมญาติ ที่ทำเอง และ/หรือ ระหว่างวัน
ถ้ารายงานสภาวะจากไลฟ์ และถ้าจำได้ ขอให้บอก EP# และครูท่านไหน ถ้าจำไม่ได้ไม่เป็นไร ขอบพระคุณมากค่ะ
|
|
|
Post by ตง on Mar 1, 2023 13:56:42 GMT 7
EP.๓๒๒ เช้าวันพุธที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๖ วันนี้ผมติดธุระพาคุณแม่มาตรวจกับคุณหมอ รพ.จุฬา ทำให้ไม่สามารถเข้าไลฟ์สด แต่ได้เข้าฟังผ่าน youtube ตั้งแต่ อ. กล่าวเปิด ฟังไปเรื่อยๆ ทำอะไรไปด้วย เหมือนสักแต่ว่าฟัง มีบางช่วงบางขณะที่ปฎิบัติตามได้ก็ทำ อย่างเข่น ได้ยิน รู้ว่าได้ยิน เท้ากระทบ รู้ว่าเท้ากระทบ แต่จะรู้เป็นช่วงๆ เพราะอยู่ระหว่างทำธุระ จนมาถึงตอนท้ายๆของการปฎิบัติรวม ผมมีความรู้สึกถึงพลังอันบริสุทธิ์ของทีมธาตุขันธ์ สัมผัสได้จนเกิดปิติ ขนลุกเป็นขณะๆ จนผมต้องยกมือพนมอนุโมทนากับทีมครับ วันนี้ผมรู้สึกได้ชัดเจนกว่าที่ผ่านๆมา ทั้งๆที่อยู่นอก zoom แต่อยู่ขณะไลฟ์สด ยอมรับถึงความศักดิ์สิทธิ์ของทีม อย่างที่ อ.พูดหลายๆคน และสอดคล้องกับคำกล่าวปิดของ อ.วันนี้ "รื่นเริงในธรรม" ✨️😇 มันเป็นเช่นนี้เอง
ผมขออนุโมทนาบุญกับการปฎิบัติ🚶♂️🚶♀️ของทุกๆท่านครับ 🙏🙏🙏
|
|
|
Post by เบนซ์ ครับ on Mar 21, 2023 14:44:34 GMT 7
บันทึกประสบการณ์เดินจงกรม 21/3/66 เช้าวันนี้ได้สวดมนต์และเดินจงกรมตามปกติ ระหว่างเดินจงกรม เดินหน้า+ถอยหลัง พร่อมกับรู้ลมหายใจเข้าทางปากและลมหายใจออกทางจมูก เมื่อตอนเริ่มต้น จากนั้นเมื่อเดินไปสักพักจึงเปลี่ยนการรู้ลมเข้าออกทางจมูกอย่างเดี่ยว ซึ่งรู้สึกสบายและผ่อนคลายมากกว่าทางปาก
ระหว่างเดินวันนี้รู้สึกสว่าง ว่าง เบาแบบเบาหวิว ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม แต่ความเบาและว่างอย่างมากส่งผลให้เกิดการรับรู้ที่แปลกไป คือรู้สึกถึงความไม่มีตัวตนทั้งทางร่างกายและจิตใจ เห็นสภาวะต่างๆเกิดขึ้นและดับไป สลับกัน จิตที่ไม่เคยสัมผัสประสบการเช่นนี้ทำให้เกิดความกลัวอยู่หน่อยๆ แต่ด้วยได้หังคลิปพี่ตุลย์333 เรื่องการเห็นอนัตตสัญญาและด้วยมีอานาปรสติเป็นเครื่องระลึกและเป็นเครื่องแบ่งในการรับรู้สภาวะต่างๆทำให้จิตเริ่มผ่อนคลายลง รู้ความว่าง สว่าง เบา พร้อมกับลมหายใจเข้าและออก
ทบทวนความเข้าใจหลังจากปฏิบัติเสร็จ 1.เข้าใจว่าจิตได้เข้าไปเห็นความเป็นอนัตตา 2.รู้สึกถึงความสำคัญของอานาปนสติ ในการเป็นที่ระลึกของสติ หากไม่มีจะทำให้จิตเกิดความกลัวที่ตัวตนหาย และออกจากกรรมฐานได้ 3.การได้รับความรู้จากครูบาอาจารย์นั้นสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะกากไม่เคยได้รู้เกี่ยวกับความเป็นอนัตตสัญญา อาจทำให้วางจิตไม่ถูกแล้วอาจรู้สึกว่าตัวเราเป็นบ้าได้
ปล.เมื่อคืนมีฝันแต่จดจำรายละเอียดไม่ได้ ที่พอจำได้คือจิตมีอาการจะทะลุออกไปจากอะไรสักอย่าง แต่ในฝันรู้สึกกลัว สติจึงบอกให้ร่างกายลืมตาตื่นครับ
กราบพี่ตุลย์และกราบพี่ฮิม
|
|
|
Post by nutty Jeezooya on Apr 7, 2023 13:49:05 GMT 7
EP.๓๒๒ เช้าวันพุธที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๖ วันนี้ผมติดธุระพาคุณแม่มาตรวจกับคุณหมอ รพ.จุฬา ทำให้ไม่สามารถเข้าไลฟ์สด แต่ได้เข้าฟังผ่าน youtube ตั้งแต่ อ. กล่าวเปิด ฟังไปเรื่อยๆ ทำอะไรไปด้วย เหมือนสักแต่ว่าฟัง มีบางช่วงบางขณะที่ปฎิบัติตามได้ก็ทำ อย่างเข่น ได้ยิน รู้ว่าได้ยิน เท้ากระทบ รู้ว่าเท้ากระทบ แต่จะรู้เป็นช่วงๆ เพราะอยู่ระหว่างทำธุระ จนมาถึงตอนท้ายๆของการปฎิบัติรวม ผมมีความรู้สึกถึงพลังอันบริสุทธิ์ของทีมธาตุขันธ์ สัมผัสได้จนเกิดปิติ ขนลุกเป็นขณะๆ จนผมต้องยกมือพนมอนุโมทนากับทีมครับ วันนี้ผมรู้สึกได้ชัดเจนกว่าที่ผ่านๆมา ทั้งๆที่อยู่นอก zoom แต่อยู่ขณะไลฟ์สด ยอมรับถึงความศักดิ์สิทธิ์ของทีม อย่างที่ อ.พูดหลายๆคน และสอดคล้องกับคำกล่าวปิดของ อ.วันนี้ "รื่นเริงในธรรม" ✨️😇 มันเป็นเช่นนี้เอง
ผมขออนุโมทนาบุญกับการปฎิบัติ🚶♂️🚶♀️ของทุกๆท่านครับ 🙏🙏🙏 อนุโมทนาบุญกับเฮียพี่ตงฮะ ขอให้ครอบครัวพี่ตงสุขภาพแข็งแรง คนป่วยหายไว สภาวะธรรมก้าวหน้าจ๊วดๆๆ ข้ามเส้นในเร็ววันนี้นะฮะไหว้ย่อฮะ
|
|
|
Post by nutty Jeezooya on Apr 7, 2023 13:50:14 GMT 7
บันทึกประสบการณ์เดินจงกรม 21/3/66 เช้าวันนี้ได้สวดมนต์และเดินจงกรมตามปกติ ระหว่างเดินจงกรม เดินหน้า+ถอยหลัง พร่อมกับรู้ลมหายใจเข้าทางปากและลมหายใจออกทางจมูก เมื่อตอนเริ่มต้น จากนั้นเมื่อเดินไปสักพักจึงเปลี่ยนการรู้ลมเข้าออกทางจมูกอย่างเดี่ยว ซึ่งรู้สึกสบายและผ่อนคลายมากกว่าทางปาก ระหว่างเดินวันนี้รู้สึกสว่าง ว่าง เบาแบบเบาหวิว ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม แต่ความเบาและว่างอย่างมากส่งผลให้เกิดการรับรู้ที่แปลกไป คือรู้สึกถึงความไม่มีตัวตนทั้งทางร่างกายและจิตใจ เห็นสภาวะต่างๆเกิดขึ้นและดับไป สลับกัน จิตที่ไม่เคยสัมผัสประสบการเช่นนี้ทำให้เกิดความกลัวอยู่หน่อยๆ แต่ด้วยได้หังคลิปพี่ตุลย์333 เรื่องการเห็นอนัตตสัญญาและด้วยมีอานาปรสติเป็นเครื่องระลึกและเป็นเครื่องแบ่งในการรับรู้สภาวะต่างๆทำให้จิตเริ่มผ่อนคลายลง รู้ความว่าง สว่าง เบา พร้อมกับลมหายใจเข้าและออก ทบทวนความเข้าใจหลังจากปฏิบัติเสร็จ 1.เข้าใจว่าจิตได้เข้าไปเห็นความเป็นอนัตตา 2.รู้สึกถึงความสำคัญของอานาปนสติ ในการเป็นที่ระลึกของสติ หากไม่มีจะทำให้จิตเกิดความกลัวที่ตัวตนหาย และออกจากกรรมฐานได้ 3.การได้รับความรู้จากครูบาอาจารย์นั้นสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะกากไม่เคยได้รู้เกี่ยวกับความเป็นอนัตตสัญญา อาจทำให้วางจิตไม่ถูกแล้วอาจรู้สึกว่าตัวเราเป็นบ้าได้ ปล.เมื่อคืนมีฝันแต่จดจำรายละเอียดไม่ได้ ที่พอจำได้คือจิตมีอาการจะทะลุออกไปจากอะไรสักอย่าง แต่ในฝันรู้สึกกลัว สติจึงบอกให้ร่างกายลืมตาตื่นครับ กราบพี่ตุลย์และกราบพี่ฮิม อนุโมทนาบุญกับน้องเบนซ์ด้วยคะ รายงานสภาวะธรรมได้ละเอียด ชัดเจน ขอให้ข้ามเส้นเร็วๆนะจ๊ะ
|
|
|
Post by nutty Jeezooya on Apr 7, 2023 16:42:25 GMT 7
จะพูดถึงตัวเองให้เพื่อนๆฟังนะคะ ว่าเป็นคนอินดี้มากๆ ชีวิตประจำวันค่อนข้างซ้ำๆ ซากๆ ทำให้เรากลายเป็นคนเรื่อยๆ เฉื่อยๆ สบายๆ พอเข้ามาปฏิบัติธรรม ได้พลิกมุมมองใหม่ ก็มาฉายชัดก็ตอนไปอำนาจเจริญล่าสุด ที่ไปซื้อของมาใส่บาตรแต่ตี 5 กระตือรือร้นมากที่จะลุกขึ้นมารวมญาติตอนตี 4 และเข้าซูมในตอนเย็น แม้จะเดินทางไกลก็ตาม ไปวัดก็ไปนั่งฟังเทศน์ฟังธรรม มีประโยคหนึ่งที่หลวงพ่อมานพท่านถามว่า "คิดว่าตัวเองทำได้ไหม" นัทตี้ตอบท่านไปว่า "ทำไม่ได้คะ" คำถามท่านคือคิดว่าตัวเองเป็นนักปฏิบัติที่เก่งสมาธิไหมนั่นแหละคะ แล้วท่านอมยิ้ม แล้วพูดว่า "ดี จะได้ไม่หลงตัวเอง" เราก็ถูกเทรนมาดี ครูตุลย์ครูฮิมสอนเราให้ไม่เทียบเค้าเทียบเรา ไม่ให้ดูถูกกัน ให้มองทุกคนเสมอกันนี้เนาะ 555 คุยกับพระสงฆ์หรือแม้แต่ครูของพวกเราที่ปฏิบัติ มันก็สบายใจนะคะ พูดคุยได้ไม่เคอะเขิน เหมือนคุยกับญาติผู้ใหญ่ นั่งสนทนาไปสิ่งที่อยู่ภายในใจของเราก็ผุดพลายขึ้นมา หลวงพ่อท่านก็นั่งฟังนะคะ 1. ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งเห็นนิสัยเลวๆ ในตัวเอง เห็นข้อเสียมากมาย แต่การเห็นมันเห็นแบบยอมรับนะ ไม่ใช่ยอมจำนน ยอมรับคือมันพร้อมแก้ไข แต่ยอมจำนนนี้มันยังมีความรู้สึกอึดอัดยังมีความรู้สึกค้านในใจเล็กๆว่าจริงบางส่วน ไม่จริงบางส่วนอยู่
2. พอเรายอมรับข้อเสียของตัวเองได้ ใจมันก็เหมือนจะผ่อนคลายมากขึ้น เริ่มจะพร้อมศิโรราบให้ธรรมกำราบอัตตาลงเสียสิ้นได้
3. เมื่อก่อนใครมาตำหนิมาว่านี้ ของขึ้นเลย แต่ตอนนี้มันรับฟังยอมรับได้ เข้าใจได้ ว่าเราไม่ดีจริง ชั่วจริง พอพูดถึงจุดนี้แทนที่ใจจะแน่นคับอก มันกลับโล่งว่างสบาย ไม่ได้รู้สึกผิดหรือรู้สึกถูก แต่กลับรู้สึกดีเสียอีก เหมือนยกอะไรหนักอึ้งออกจากใจเสียมากกว่า
4. ถ้าเมื่อก่อนเรานับถือใครจะยกย่องเชิดชู หรือมีความเชื่อใดๆก็จะสำคัญมั่นหมายว่าเราถูก เราดี คนอื่นที่ให้ความเห็น หรือเชื่อถือศรัทธาคนอื่น หรือสิ่งใดที่นอกเหนือจากเรา คือไม่ดีพอ มีการเทียบเค้าเทียบเรา ยกตนข่มท่าน ของข้าดี ของเอ็งไม่ดี ของเอ็งดี ของข้าดีกว่า แล้วก็เอาวาทะกรรมมาเกทับกัน จนบางทีทำให้ครูบาอาจารย์เราเสื่อมเสียไปด้วยนะ เคยเห็นเหมือนกัน ตอนนี้แม้เรานี้โง่บรมเลย โมหะครอบหลงผิด ไปเทียบเค้าเทียบเรา ครูบาอาจารย์ท่านก็อยู่ของท่าน มาพลอยเสียเพราะลูกศิษย์ลูกหาที่หลงผิดไปเสียได้
5. พอปฏิบัติธรรมไปเห็นแสง เห็นสีอะไรต่างๆมากมาย เห็นผี เห็นสาง ก็มโนว่าตัวเองนี้ช่ำชองเก่งกาจ เห็นอะไรพิศดารเหลือคณานัป ดีที่ยังพอมีสติอยู่บ้างไม่หลงใหลได้ปลื้มไปกับมัน เพราะไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ยิ่งเห็นยิ่งหลงตัวเอง ยิ่งออกนอกทางไปไกลเลยทินี้ พอมาอยู่กับความธรรมดาก็คิดว่ามันไม่ก้าวหน้านะ เพราะเราคิดว่าการปฏิบัติมันต้องพิศดารกว่านี้สิ ถึงจะก้าวหน้า ไปล็อคสเปคไว้เสียเลอเลิศ แท้จริงแล้วปฏิบัติให้เป็นคนธรรมดา อยู่กับธรรมชาติ เข้าใจความเป็นอนัตตา ความไม่มีตัวเค้าตัวเรา ไม่มีตัวตน นี้เอง ไอ้เราก็ไง่มาตั้งนาน
6. ตอนนี้ปฏิบัติยังมีโลภ โกรธ หลงอยู่มาก รู้ว่ายังมีมาก แน่ก็บางลงไปเยอะ เวลาความโทสะเกิด ใจมันอึดอัดคับแน่นนะ บางทีตัวสั่น ปากสั่น แต่มันก็มีสติยับยั้งชั่งใจจะไม่โพล่งคำพูดร้ายๆออกไป นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเจริญปัญญาของตัวเอง พอมันมีขันติมากๆ เข้า อาการไหวของใจก็ซาลง โทสะผุดขึ้นมา อาการทางกายก็แผ่วลง ไม่กระเพื่อมแรงเหมือนเดิม แต่รู้ว่าโกรธมาก โกรธน้อย เอาสติมาดูเวทนาทางกาย หน้าอกแน่นไหม ความร้อนภายในกายแล่นไปส่วนใดบ้าง ปวดหัว ตัวร้อน ปากสั่น ตัวสั่น ไหม คือมาพิจารณาทางกายเสร็จสรรพ ไปดูลมหายใจเข้าออก มันฟืดฟาด มันแผ่นเบา มันห้วนสั้น หรือมันยังผ่อนยาวอยู่ มันสรุปไปอยู่ตรงลมหายใจ อาการโทสะมันก็ดับลงตรงนั้น จริงๆก็ไม่ได้ไปข่มจิตข่มใจอะไรเลย เพียงแต่เอาสติไปรับรู้อาการทางกาย อาการทางใจ และไปรู้ลมหายใจเท่านั้น ใจเย็นลง การตอบโต้ก็เป็นไปด้วยความเยือกเย็น และมีสติมากขึ้น
ถ้าเป็นเมื่อก่อนพอโกรธก็รู้ว่าโกรธ จะพยายามข่มจิตข่มใจทันที ซึ่งมันใช้กำลังมาก ทำให้สติขาดผึงได้ง่ายๆ แล้วมันดับไม่จริง มันแป๊บเดียวก็กำเริบขึ้นมาอีก แล้วก็ง่ายมากต่อการปะทะคารมหรือใช้กำลังรุนแรงในลำดับต่อมาได้คะ
7. เวลาเกิดโมหะ ตัวนี้จะเห็นยากหน่อย เพราะมันค่อนข้างทับซ้อนในความรู้สึกตัวเอง โทสะมันจะเห็นค่อนข้างง่าย เวลาเราไถเฟส ไถไลน์ แล้วเราก็รู้ตัวทั่วพร้อมไปด้วย รู้ลมหายใจไปด้วย แต่มือก็ยังไถอยู่ มีความเพลิดเพลินในการดูนั้น หารู้ไม่ว่านี้เป็นความเพลินในราคะ เพลินในกาม คิดว่าไม่ดูก็ได้ แต่มือไม่หยุดไถ ตาไม่ห่างจากหน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นธรรมะหรือ คลิปเต้น คลิปต่างๆในยูทูป ลืมไปว่าถ้าเรามีสติกำกับให้ถอนความรู้สึกจากหน้าจอ กลับมาภาวนาเสียก็จะได้ประโยชน์มากกว่า พอมันเพลินไปนานๆเข้า แล้วค่อยมีสติมาหยุดดู หยุดเสพ มันกินเวลาไปเนิ่นนานแล้ว ซึ่งตัวเพลินนี้แหละคือตัวฉุดรั้งออกเส้นทางภาวนาดีๆนี้เอง
หรือเวลาโกรธ โทสะหายไป นานเข้าก็มีความรู้สึกปรุงแต่งขึ้นมา นึกเห็นหน้าคนที่ทำให้เราไม่พอใจก็อาฆาต พยาบาท ไม่อยากเห็น ไม่ได้ให้ได้ดี เกิดโมหะครอบหัว ครุ่นคิดงุ่นง่านเป็นวันๆ อารมณ์ร้อนภายในกายก็ไม่ทันสังเกต กว่าจะรู้สึกตัวอารมณ์บาปก็กินตัวเองไปหมดตัวแล้ว ถ้าตายตอนนั้นก็ไม่อยากคิดเลยว่า จะตกอบายภูมิหลุมไหน
8. วันไหนสภาวะดีๆ จิตโล่ง ว่าง สว่าง สมาธิเสถียร เดินได้เบาหวิว วันนั้นก็คุยจ้อทั้งวัน มีความสุขกับเพื่อนๆ เหมือนโลกใบนี้งดงาม ช่วงไหนที่สภาวะดรอปลงก็ท้อแท้ ห่อเหี่ยว ไม่อยากปฏิบัติ หาเหตุขี้เกียจเข้าซูม เข้าไลฟ์ ไม่อยากส่งการบ้าน เห็นเพื่อนๆคุยกันสภาวะดีก็เทียบเค้าเทียบเรา อยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็นเหมือนเค้า พอไม่ได้ดั่งใจก็มีโทสะ โมหะเคลือบจิตตัวเอง ก็ขยันขึ้น ไอ้ความขยันที่เกิดมีแต่ตัณหาพาไป ทะยานอยากได้สภาวะดี ทำไปๆก็ไม่ได้ดีนะ มีแต่แย่ลง มันไม่เป็นกลาง มันธรรมชาติ มีแต่เพ่งเอา เล่งเอา มีแต่เอาเข้าตัว ไม่มีสละออก ไม่มีแผ่ออกเลย สงบกูก็จะเอา โล่งว่างสว่างกูก็จะเอา โสดาบันกูก็จะเอา สกิทาคามีกูก็จะเอา อนาคามี อรหันต์ นิพพานกูก็จะเอา จะเอาหมด ไม่สละออกสักอย่าง คือไม่ทิ้งตัวอัตตาออกไปเลย พอได้ฟังครูตุลย์ ครูฮิมไกด์ ก็ถึงบางอ้อ ไอ้ที่มันไม่ก้าวหน้า เพราะเราไม่เคยคิดสละออกเลย มีแต่เอาเข้าตัว
สรุปกับตัวเองได้ว่า ทิ้งอัตตาตัวตนเสีย สละออก มันก็ข้ามได้แล้ว อย่าเป็นอะไรเลย เป็นคนธรรมดาๆนี้แหละ แต่ไม่มีใครเป็นเจ้าของรูปนามขันธ์ห้านี้ เดี๋ยวมันก็ตายทุกคน เดี๋ยวก็คือไปสู่ธาตุดินน้ำลมไฟทุกคน
วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะคะ ถือว่าแชร์ประสบการณ์เส้นทางธรรมตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่อยู่ในห้องวิปัสสนา เพื่อนๆคนไหนมีอะไรอยากเล่าอยากแชร์ ก็อยากอ่านนะคะ บางทีเผื่อเป็นข้อคิดดีๆในการปฏฺิบัติให้แก่กันและกันได้คะ สาธุในธรรมทาน และอนุโมทนาบุญในการปฏิบัติของทุกท่านนะคะ
|
|
บิว
New Member
Posts: 5
|
Post by บิว on Apr 7, 2023 18:38:46 GMT 7
ขออนุญาตแชร์ สภาวะระหว่างวันค่ะ วันนี้นำรถไปเช็คทั่วไป ตามปกติ แต่เจอความผิดปกติของชิ้นส่วนรถบางอย่างเลยต้องรอซ่อมนาน ประมาณ 4 ชั่วโมง เห็นอาการอยากเคลื่อนไหวไปอยู่ ณ จุดอื่น เห็นอาการถูกบีบคั้น เห็นอาการดิ้นของใจควบคู่ลมหายใจเข้าออกได้บางขณะ สังเกตุสิ่งแวดล้อมรอบตัวทุกอย่างเคลื่อนไหวหมดเลย รถที่วิ่งผ่าน ใบไม้ที่ไหวเพราะแรงลม ช่างที่เคลื่อนไหวอิริยาบถไปตามบทบาทหน้าที่ ลูกค้าคนอื่นที่นั่งรออยู่ด้วยกันก็มีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอด แม้ขณะที่ขันธ์5นี้ตอนที่นั่งเฉยๆ ไม่สไลด์มือถือ ไม่พูด ไม่คุย แต่ก็ต้องกระพริบตา อยู่ตลอด ต้องมีแรงบีบให้หายใจเข้าและออกตลอด เกิดความระลึกถึงประโยค "นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ" สิ้นสุดการรอคอยรถซ่อมเสร็จ เห็นอาการคลายของจิต แล้วเห็นอาการบีบคั้นในเรื่องอื่นต่อ สังสารวัฏน่าเบื่อจังเลยค่ะ
|
|
|
Post by Beeying on Apr 10, 2023 6:45:47 GMT 7
สภาวะระหว่างวัน ยอมรับว่าปล่อยตัวปล่อยใจให้เจตนาและความคิดเข้าครอบงำ แบบทั้งๆที่สามารถจะว่างแต่เรายินดีให้มีความคิดต่อ และหาข้ออ้างว่าต้องทำงานทำการ ซึ่งจริงๆแล้วของบีอิ้งทำงาน 30% ที่เหลือฟุ้งล้วนๆและไม่ได้เนื้องานด้วย วันนี้บีอิ้งคุยกับจิตตัวเองว่า มันจะสามารถพัฒนาขึ้นได้ไหม เราทำงานแบบปล่อยวางกว่านี้ได้ไหม ในบางจุดไม่จำเป็นต้องไปควบคุมไปซะทุกเรื่องก็ได้ สติและกำลังตอนนี้ไม่ใช่ว่าจะอ่อนแอแบบเมื่อก่อน แต่จุดที่พลาดคือยินยอมพร้อมใจกับกิเลสเองต่างหากค่ะ
|
|
|
Post by nutty Jeezooya on Apr 10, 2023 11:45:09 GMT 7
#การปฏิบัติธรรมทำให้ชีวิตของนัทตี้เปลี่ยนไปอย่างไร อยากเล่าประสบการณ์แชร์ให้เพื่อนๆได้อ่าน หวังว่าคงจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย เรื่องจัดการโทสะ ชีวิตที่นัทตี้ต้องอยู่กับสภาพแวดล้อมของผู้คนที่เต็มไปด้วยแรงโทสะ ใช้คำพูดหยาบคาย หรือตรงไปตรงมา โผงผาง บางกลุ่มบางพวกก็นักเลงหัวไม้ อนุสัยที่นอนเนื่องถูกบ่มเพาะสะสมมายาวนานคือ 1. คิดลบมากกว่าคิดบวก 2. อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย 3. คิดเล็กคิดน้อย หยุมหยิม 4. แม้เหตุการณ์กระทบผ่านไปแต่ปล่อยวางไม่ได้ ยืดเยื้อ ยาวนานข้ามวัน ข้ามเดือน ข้ามปี หรือบางทีความตรึกนึกก็จะผลุบๆโผล่ๆ มาเป็นพักๆ แม้จะผ่านมาเป็นระยะเวลานานหลายปี 5. มีอคติ ตัดสินคนอื่นจากมุมมอง และภาพลักษณ์ภายนอก ในทิศทางที่ไม่ดี มากกว่าทางที่ดี 6. เอาแต่ใจตัวเอง จะเอาอะไรต้องให้ได้อย่างใจ ถ้าไมได้อย่างใจจะทุรนทุราย งุ่นง่าน ใจก็เป็นทุกข์ 7. ทำอะไรต้องเอาให้ได้ ต้องทำให้สำเร็จ มีทิฐิมานะ ทะยานอยาก ไม่ใส่ใจสภาพแวดล้อมหรือผู้คนรอบข้าง 8. พูดจาก็จะออกแนวโผงผาง ตรงไปตรงมา ไม่คำนึงถึงความรู้สึกคนฟัง เห็นข้อผิดพลาดก็ตำหนิติเตียนเค้า ไม่คิดว่าเค้าจะเสียใจหรือไม่ คิดแต่ว่าตำหนิแล้วเค้าจะปรับปรุงตัวเองดีขึ้น มองข้ามความรู้สึกของคนอื่น 9. เมื่อความเห็นของเราถูก ของเราดี ทำเพื่อประโยชน์ส่วนร่วม เพื่อคนอื่น เราเสียสละเพื่อส่วนรวม ก็จะเริ่มมีตัวตน ได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง จุดนี้แหละที่น่ากลัวที่สุด ใครตำหนิไม่ได้ ว่าไม่ได้ เพราะหลงคิดว่าเราทำดีแล้ว เราดีกว่าคนอื่น เราทำประโยชน์ได้มากกว่าคนอื่น 10. ไม่ยอมคน ไม่ก้มหัวให้คน เพราะคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำผิด ไม่ได้ไปนั่งนินทาให้ร้ายใคร ไม่ได้ไปทำร้ายใคร ทำใมต้องมาทำกับฉัน มานินทาฉัน มีความอาฆาต พยาบาท 11. เจอคนที่ไม่ชอบ ก็จะไม่รักษามารยาท สะบัดบ็อบ และไม่เสวนาไม่คบคาสมาคมด้วยเลย ประเภทใครดีมาดีไป ร้ายมาร้ายกลับ ไม่มีความเป็นกลางทางความรู้สึกเลย
ชีวิตก่อนมาปฏิบัติธรรม : เมื่อเกิดผัสสะกระทบจากบุคคลภายนอก หรือเวลาอยากได้อะไรแล้วไม่ได้อย่างใจ 1. ใจจะทุรนทุราย 2. เศร้าหมองมาก หดหู่เป็นวันๆ จิตดิ้นพล่านข้างใน 3. ธาตุเตโช (ความร้อน) แผ่ซ่านไปทั่วกาย 4. ปากสั่น ตัวสั่น 5. ปวดหัวเป็นวันๆ 6. คับแค้นใจเป็นระยะ 7. อาฆาตพยาบาท มีความอยากเอาคืน มีความเจ็บใจ ต้องแก้แค้นเอาให้สาสมที่ทำเรา 8. ปากไว เค้าว่ามาเราด่ากลับ แล้วรู้สึกสะใจ ได้เอาคืนสาสม พูดมาสวนกลับทันควัน 9. อยู่ใกล้คนที่ไม่ชอบ คนที่เห็นแก่ตัว คนชอบเอาเปรียบคนนี้เราจะร้อนรนเอง แบบไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากให้เค้าได้ดีให้สมกับที่เค้าทำกับคนอื่น ทำกับเรา มันเกิดขึ้นภายในใจเราเอง #ชีวิตหลังการปฏิบัติ : 1. เรามีสติมากขึ้น 2. มีสมาธิอัตโนมัติระหว่างวันมากขึ้น 3. สามารถฝึกแยกกาย แยกจิต แยกความคิด ได้แล้ว จุดนี้ทำให้เราไม่เข้าไปยึดโยงกับความรู้สึกทั้งหลายที่กระทบเข้ามา 4. ผลที่ได้จากการเจริญอาณาปานสติ เมื่อเจอผัสสะกระทบ จิตมีเครื่องอยู่มีเครื่องรองรับอารมณ์กระทบนั้นได้ 4.1 สภาวะที่ผัสสะดับทันที : เมื่อเจอคนทำให้โกรธจนพุ่งปรี้ดขึ้น จิตจะจับลมหายใจทันที ความโกรธจะดับลงทันทีเช่นกัน ตอนนี้ปัญญายังไม่เดินนะคะ แค่ระงับอาการโทสะไม่ได้พุ่งออกไปปะทะกับคู่กรณี ตอนที่มีสมาธิมากพอ สภาวะนี้ก็จะอยู่ยาวนานหน่อย แต่เมื่อเรากลับมารู้ตัวทั่วพร้อม อาการโทสะก็จะกลับมาอีกแต่จะบางลง
4.2 สภาวะที่ผัสสะไม่ดับทันที : แต่มีสติและปัญญามาพิจารณา : เมื่อเจอคนที่ทำให้โกรธจนพุ่งปรี้ดขึ้น พอมีโทสะ สามารถจับลมหายใจเข้าออกได้แต่อารมณ์โกรธไม่ลดลง การจับลมหายใจเอาไม่อยู่ แต่พอมีสติกำกับ จึงยังระงับปากไม่ด่าตอบ ระงับกายไม่กระโดดเตะปากเค้า ระงับใจไม่ให้มันร้อนรนพลุ่งพล่านมาก เพราะจิตมันเข้าไปสังเกตรู้ว่า อาการโกรธตัวสั่น ปากสั่น ความร้อนมันแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ใจเต้นแรง กลางอกอึดอัด มืดทึบ แน่นหนักขึ้นมา พอเราเข้าไปรู้อาการตรงนี้ แทนที่จะไปมองปฏิกิริยาของคู่กรณี สภาวะของความโกรธมันบางลงจนหายไป แล้วจะมีตัวหนึ่งดีดขึ้นมาคือ ไม่เอาเรื่องด้วย เห็นความไม่มีสาระในความโกรธนั้น ไม่อยากถือโทษ ไม่อยากถือสา และเห็นว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป พอจุดนี้ ความโล่งว่างกลางออกจะปรากฏขึ้น ความสบายใจจะเข้ามาแทนที่ความคับแน่นกลางอก ใจก็จะโปร่งสบายมากขึ้น เพราะถอนการยึดออก จับลมหายใจเข้าออก พอมันเกิดแบบนี้เหตุการณ์นั้นมันจะดับสนิทไม่มีส่วนเหลือ ต่อให้มีการยุติหรือไม่ยุติ เราก็จะไม่มีแก่ใจเข้าไปยึดในอารมณ์นั้น พูดคุยได้มีสติมากขึ้น ไม่คุยด้วยแรงโทสะ มีเมตตาต่อตัวเองและคู่กรณีมากพอที่จะไม่ถือสา แต่ยังมีการตรึกนึกนานๆ ครั้ง โดยไม่มีความอาฆาตมาดร้ายใดๆ ตามมา เป็นสายลมที่พัดผ่าน
5. พอเราฝึกปล่อยวางผัสสะกระทบจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น อยากกินไม่ได้กินก็ไม่ทุนรนทุราย อยากไปไหนไม่ได้ไปก็ไม่รู้สึกนอยด์ อยู่ใกล้คนที่เราไม่ชอบใจ เราก็ไม่อึดอัด มีคนมาว่ามาด่าเรา ๆก็ไม่โกรธ ถึงโกรธก็รู้ตัวเร็วหายเร็ว การฝึกฝน อดทน อดกลั้น ยอมรับความโกรธที่เกิดขึ้นในตัวเองบ่อยๆ แบบศิโรราบต่อสิ่งที่ปรากฏว่า เอ่อ “ข้าเลว ข้าโกรธ ข้าชั่ว” จริงๆว่ะ มันจะสั่งสมอาการไม่ยึดมากขึ้น ระหว่างวันใจมันก็โปร่งโล่งมากขึ้น อันนี้สังเกตจากสภาพแวดล้อมระหว่างวัน ที่เกิดกับครอบครัว สังคม เพื่อน คนรอบข้าง แม้มันจะมีบ้าง แต่ก็ไม่หนาหนักเหมือนเช่นเคย เหมือนมีคนทะเลาะกันรอบตัวเรา แต่เราเหมือนมีเซฟโซน อยู่ในกล่องแคปซูล คนเดียว ไม่มีอะไรมากระทบกาย กระทบใจให้ทุกข์อีก คะ
สรุปปิดท้าย : 1. มีสติ มีสมาธิ แยกกาย แยกจิต แยกความคิด ได้ 2. มีการยึด การถือสาน้อยลง 3. มีความโล่งว่าง สว่าง ความเบากลางอกระหว่างวันเรื่อยๆ 4. ลมหายใจเข้าออกดับทุกข์ในใจได้ 5. มีความสุข ความสบายใจในชีวิตระหว่างวันมากขึ้น มีความสงบท่ามกลางความวุ่นวาย มีความสุขใจท่ามกลางความทุกขเวทนาได้ 6. มองคนอื่นให้แง่ดี อคติน้อยลง มีเมตตามากขึ้น
อยากเล่าให้ละเอียดที่สุด เพราะเห็นประโยชน์ของการฝึกตามแนวทางครูตุลย์ ครูฮิมคะ
|
|
|
Post by nutty Jeezooya on Apr 19, 2023 12:40:27 GMT 7
เมื่อวาน 18/4/66 ขับรถระหว่างทางจากสุรินทร์กับร้อยเอ็ด แล้วเกิดอาการหลับในรถลงข้างทางหลายรอบ ตาจะปิด ง่วง เพลีย เนื่อย ปวดหัว ไม่รู้จะทำยังไงเลขใช้จิตจับลมหายใจเข้าออก โฟกัสจากความง่วงมาที่ลมหายใจเข้าออก พุทโธแทน ผลคืออาการง่วงหายไป ตอนเข้าห้องน้ำปั้มน้ำมัน พอก้นนั่งชักโครก จิตจับลมหายใจโดยอัตโนมัติ สมาธิชัดเจน ธาตุเตโชแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เลยนั่งทำสมาธิเล่นพร้อมปลดทุกข์ไป ตื่นเช้ามา พารา 1 เม็ด เดินไปส่องกระจก จิตจับความโล่งอัตโนมัติ เลยยืนหลับตา ปรากฏว่ากายแยกออกไปเป็นคนละส่วนคะ ตอนที่เราตั้งใจทำมันก็ได้นะคะ แต่ตอนที่มันเกิดขึ้นตอนเผลอนี้น่าสนใจมากกว่าคะ การเจริญสติสมาธิปัญญามักจะเป็นไปเองเวลาเผลออยู่เรื่อยอ่ะคะ
|
|
บิว
New Member
Posts: 5
|
Post by บิว on May 2, 2023 19:15:19 GMT 7
ช่วงนี้รับวิบากที่มั่นใจว่าชาตินี้ไม่น่าจะสร้างเหตุอะไร ให้ได้รับวิบากเช่นนี้ สังสารวัฏน่ากลัวจริงๆ ได้เปรียบเราทุกเรื่อง สังสารวัฏจำได้ทุกเรื่อง ใน ขณะที่เราจำอะไรไม่ได้เลย นึกจะให้ผลตอนไหนก็ได้ ไม่ถามซักคำว่าเราพร้อมรับไหม ในกาลเช่นนี้กรรมฐานนักสู้ที่พี่ฮิมสอนไว้ กับกำลังสติที่สะสมมา ช่วยได้เยอะมากๆ เป๋ไป2-3 วันจากที่เคยปฏิบัติได้ดีๆ สว่างทันที ณ หัวทางจงกรม กลับหล่นตุ๊บลงมา เอาไม่อยู่จริงๆ แต่ความไม่ลดละเลิก สภาวะยังไงก็ฝืนใจปฏิบัติ ร้องไปพลางเดินจงกรมไปด้วย ย้ำหมุดกับเพลงอมตะธรรมของพี่ตุลย์ คือ ที่สุดแล้ว ...
|
|
|
Post by อร Orakanya on Jun 8, 2023 11:51:28 GMT 7
บันทึกการปฏิบัติ รวมญาติ รอบตี 4 ครึ่ง 8/6/66 เมื่อคืนดูคลิป kpop เยอะไปหน่อย จนนอนดึก ตอนเช้าเลยตื่นสาย ตื่นมาตี5 กว่า เข้ารวมญาติ เปิดกล้อง พอเข้าหลังคนอื่นเลยไม่ได้ฟังที่ครูโค้ชมากนัก ก็โฟกัสความรู้สึกของตัวเอง เพ่งนิดหน่อย ปวดตาบ้าง แต่ไม่ไปใส่ใจ ไม่ได้ว่างเบา แต่พอทำไปได้สักพัก เหมือนรู้สึกวิตกเต็ม รู้สึกตัวแน่นๆ เต็มตัวแทน ก็เลยนึกได้ว่า เคยเป็นแบบนี้แล้วครั้งนึง แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่ามันมาได้ยังไง เดินไปเดินมารู้สึกว่ามันนานจัง แต่ก็เดินจนจบ พอหันไปดูนาฬิกาเท่านั้นแหละ รีบปิดซูมแล้ววิ่งไปเตรียมตัวทำงานเลยค่ะ สายแล้วๆๆ บันทึกการปฎิบัติ รวมญาติ รอบทุ่มครึ่ง 8/6/66 ดูคลิปการทำความรู้สึกที่กลางอกโดยการใช้นิ้วจิ้มที่กลางอกเบาๆ พร้อมกับหายใจเข้าออกแบบผ่อนคลายสบายๆ จนรู้สึกโล่งเบาแล้วค่อยเอานิ้วออกจากกลางอก ปกติจะหาความรู้สึกที่กลางอกไม่เจอ เพราะมันว่างๆ เลยไม่แน่ใจ หลังจากนั้นมาเข้าซูม เดินจงกรม ก็รู้สึกเหมือนตอนเช้าได้ แบบวิตกเต็ม แต่เบากว่าตอนเช้า ไม่เพ่ง เดินได้นานก็ไม่ต้องพึ่งเสียงครูโค้ช เพราะบางช่วงเสียงไลท์หายไปเนื่องจากอินเตอร์เน็ตมีปัญหา แต่ก็สามารถเดินต่อได้จนครบเวลา ก่อนหน้านี้เข้าใจว่า เราไม่สามารถสร้างสภาวะเดิมซ้ำได้อีก เพราะไม่รู้ว่าสภาวะนั่นเกิดขึ้นได้โดยอาศัยเหตุปัจจัยอะไรบ้าง แต่ตอนนี้พอจะจับจุดได้บ้างแล้ว ว่าต้องมีความตั้งมั่นที่กลางอกเป็นบาทฐาน ประคองความรู้สึกที่กลางอกไว้ แล้วเดินจงกรม รู้สึกมือ รู้สึกเท้า รู้สึกลมหายใจ แล้วแต่ว่าจะรับรู้อะไรได้ ณ ตอนนั้น แล้วจะมีวิตกเต็ม
|
|
|
Post by อร Orakanya on Jun 9, 2023 9:24:01 GMT 7
บันทึกการปฏิบัติ รอบตี 4 ครึ่ง 9/6/66 ไร้ตัวตน 130 กล้ำกลืนรสชาติอันทนได้ยากของอนิจังของอัตตา ตื่นเช้ามาก่อนเวลาประมาณตี 4 กว่าๆ ได้มีเวลานั่งสมาธิก่อนเข้าไลท์แป๊บนึง ตอนเข้าไลท์ก็มีความรู้สึกตัวได้เต็มที่ พี่ฮิมสอนเรื่องอัตตาใหม่ที่เกิดขึ้น โดยอธิบายอัตตาตัวตนผ่านการเรียกชื่อ ให้ทำความรู้สึกตัวรวมๆ ทั้งหมดว่าคือตัวตนของเรา ให้สังเกตการเปลี่ยนแปลงแบบละเอียดในแต่ละขณะผ่านการกระทบ การหายใจ ความหนัก ความเบา ความมืด ความสว่าง ความทึบ ความโล่ง ความปวด ความสุข ความทุกข์ ดูอนิจังผ่านอัตตา อัตตาใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลาจากการเปลี่ยน (อนิจจัง) แล้วทำให้เกิดทุกขังขึ้นมาจากความยึดติดในตัวตนที่พยายามจะเห็นการพัฒนาในการปฏิบัติของตัวเอง ให้ละวางความยึดมั่นในตัวตนแต่ละขณะ และยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ก็จะไม่ต้องทุกข์กับธรรมดาของโลก เวลาเกิดจากการเปลี่ยนแปลง (อนิจจัง) ของอัตตาที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะ เป็นการเรียนรู้อนัตตาในปัจจุบัน ยังงงๆ ในประเด็นนี้อยู่ แต่ก็สามารถเดินจนครบเวลา
|
|
|
Post by nutty Jeezooya on Jun 9, 2023 17:18:52 GMT 7
เมื่อไม่กี่วันผ่านมานั่งดูไลฟ์ครูฮิมที่วรการ 4/6/66 ย้อนหลังระหว่างนั่งทำงานไปด้วย ปรากฏว่าตอนครูนั่งวาดมือท่าสองบนเวที สายตาของนัทตี้เก็นมือครูเคลื่อนเป็นขณะๆไม่ได้พริ้วไปแบบคนปกติทั่วไปคะ เลยเสมองไปทางอื่นแล้วกลับมามองจอมือถือใหม่อีกครั้ง ก็ยังคงเห็นเหมือนเดิมคะ
|
|
|
Post by อร Orakanya on Jun 13, 2023 10:44:15 GMT 7
บันทึกการปฎิบัติ รวมญาติ รอบ 9 โมงเช้า 13/6/66 นั่งฟังไลท์พี่ตุลย์ระหว่างการทำงาน แล้วไปเข้าห้องน้ำ มีเวลาอีกพักนึงเลยนั่งพี่ตุลย์ไกล์เงียบๆ ในห้องน้ำ แล้วเผลอหลับไป ตื่นขึ้นมาจำไม่ได้ว่าเวลากี่โมง เช้าหรือบ่าย หรือสึกว่างๆ อยู่กับตัวเอง เดินออกมาแบบเบลอๆ เหมือนอยู่ในสมาธิ นิ่งๆ เฉยๆ รับรู้ได้ปกติ จำได้ว่าเป็นเหมือนตครั้งก่อนที่นิ่งๆ เฉยๆ ว่างๆ ไม่ยึด เป็นช่วงที่พี่ตุลย์ไกล์เรื่องภาวะอนัตตาไร้ตัวตน เลยคิดเอาเองว่า อนัตตาคือแบบนี้ รู้เฉยๆ ว่างๆ อยู่กับตัวเอง ไม่สำคัญมั่นหมายกับสิ่งต่างๆ รอบข้าง
|
|
|
Post by อร Orakanya on Jun 16, 2023 14:35:28 GMT 7
บันทึกการปฏบัติระหว่างวัน 14/6/66 รู้สึกเหมือนตัวเองติดความสงบ ตอนไปทำงาน พอมีเวลาก็แว๊บไปนั่งนิ่งๆ ทำสมาธิพักนึง ไม่ค่อยคุยกับใคร แยกตัวเองออกมา ไม่สนใจคนอื่น อยู่แต่กับตัวเองมาก จนเหมือนหลีกหนีสังคม พอมีเรื่องงานเข้ามาก็รู้สึกขัดใจ รู้สึกวุ่นวาย ไม่ชอบ มีอาการเหวี่ยงวีน ทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ รู้สึกว่ามาผิดทาง ในทางจงกรมเหมือนจะติดเพ่ง พยายาม อยากได้ ให้นิ่ง สงบ เบา แต่ตัวหนัก ปวดหัว
บันทึกการปฎิบัติระหว่างวัน 15/6/66 ทำตัวผ่อนคลายมากขึ้น เข้าสังคม คุยกับเพื่อน ไม่ไปนั่งนิ่งๆ ทำสมาธิ แต่พยายามมีสติรู้สึกตัวระหว่างวันแทน รู้สึกสบายขึ้น ไม่แปลกแยกจากสังคม แต่คอยมีสติรู้สึกตัว ในทางจงกรม เดินได้สบายขึ้น ไม่บีบที่หัว
บันทึกการเดินจงกรม รอบตี 4 ครึ่ง อยู่กับตัวเองแบบสบายๆ ได้มากขึ้น
|
|
บิว
New Member
Posts: 5
|
Post by บิว on Jul 1, 2023 22:21:23 GMT 7
พักผ่อนเพียงพอ เดินรวมญาติรอบบ่าย2 จิตใจไม่ได้ปลอดโปร่งเนื่องจากอารมณ์คงค้างจากหน้าที่การงานและความรู้สึกห่างจากครูบาอาจารย์เป็นครั้งแรกที่เห็นจิตไม่เที่ยงชัดเจนหลังจากเดินจงกรมถอยหลังหลับตาฟังเสียงครูไกด์ร่วมกับสหธรรมิกครบ 1 ชั่วโมงตามปกติ วันนี้มีแรงธรรมส่งให้นั่งเจริญอานาปานสติแบบเงียบๆต่ออีกครึ่งชั่วโมง เกิดสภาวะธรรมที่จิตเปลี่ยนสภาพให้เห็นในระดับที่เชื่อว่าจิตไม่เที่ยง จิตไม่ใช่เรา จิตแสดงการถูกโมหะครอบเหมือนจะหลับแล้วเปลี่ยนกลับเป็นนิ่งรวมดวง ตั้งมั่นหนักแน่นรู้ตัวทั่วพร้อม แล้วเปลี่ยนกลับไปเป็นเห็นโมหะ จนเห็นกลับมาเป็นสว่างนวลๆ ว่างโล่ง จิตมีปิติหายใจเข้าหายใจออกเป็นสุขจนถึงตอนนี้แค่ระดับความสุขเบาบางไม่เท่าเดิม 22:21 น.
|
|
|
Post by nutty Jeezooya on Jul 27, 2023 10:32:11 GMT 7
พื้นที่สำหรับให้เพื่อน ๆ รายงานสภาวะต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติภาวนา ไม่ว่าจะระหว่างไลฟ์กับครู รวมญาติ ที่ทำเอง และ/หรือ ระหว่างวัน
ถ้ารายงานสภาวะจากไลฟ์ และถ้าจำได้ ขอให้บอก EP# และครูท่านไหน ถ้าจำไม่ได้ไม่เป็นไร ขอบพระคุณมากค่ะ
|
|
|
Post by nutty Jeezooya on Jul 27, 2023 10:37:08 GMT 7
วันดีๆวันหนึ่ง ในห้องทำงานส่วนตัวของเดือนกรกฏาคม 2566 นั่งสวดมนต์หน้าหิ้งพระในห้องทำงาน รู้สึกถึงกำลังตัวเองที่เพิ่มสูงขึ้น มีความกลวงว่าง เบา คล้ายถูกควักเอาตับไตไส้พุง เหลือเพียงโครงร่างเปล่า ข้างในไม่ใช่กระดูก แต่กลับเป็นอากาศ เป็นธาตุ เป็นความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมเหมือนอยู่ในระบบสุริยะจักรวาล จึงสวดมนต์อิติปิโส 3 ห้องครบ แผ่เมตตา นึกครึมอยากหลับตานั่งสมาธิ เชื่อมจิตไปถึงระบบสุริยจักรวาล ด้วยการอยากลองภูมิของตัวเองว่า ในสภาวะนี้จะทำได้หรือไม่ ผลคือ ร่างและจิตของตัวเองหายไป มีเพียงความรับรู้ว่าได้กลมกลืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบสุริยะจักรวาลที่ปรากฏขึ้นให้เห็นตรงหน้า เห็นหมู่ดาวต่างๆ มากมาย การเคลื่อนย้ายของเหล่าธาตุต่างๆของจักรวาล ท้องฟ้าที่มืดประกบด้วยหมู่ดวงดาว และการทำงานของจักรวาล
จิตพยายามค้นหาตัวเอง ตัวของนัทตี้ว่าไปอยู่ตรงไหน มองยังไงหายังไม่ก็ไม่พบ นัทตี้ไม่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้ มันว่างเปล่า ร่างนี้จิตนี้ลอยล่องไปหลอมรวมกันกับอากาศธาตุแล้ว ไร้ซึ่งตัวตน ไร้ซึ่งความรู้สึกนึกคิด ไร้ซึ้งจินตนาการความปรุงแต่ง มีแต่ธาตุในจักรวาล มันว่างเปล่า มันเลื่อนลอย มันไม่มีอยู่จริง คงสภาวะนั้นอยู่ประมาณ 10 กว่านาที ฉันจึงเข้าใจอย่างถ่องแท้กับคำว่า “ไร้ตัวตน” ที่แท้จริงมันเป็นเช่นนี้เอง หาใช่ความไม่มีตัวตนในแบบโลกๆ คือไม่อยากได้ อยากมี อยากดี อยากเป็น สิ่งที่สัมผัสมันเหนือกว่าคำนั้น มันเหนือกว่าสิ่งเหล่านี้เหมือนพลิกขั้วหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
แต่จำเป็นต้องถอยออกจากสมาธิเพราะเป็นห้องทำงาน เกรงจะมีคนเข้ามาพบ สภาวะแห่งความกลวงว่างนี้เกิดขึ้นยาวนานมาถึงการปฏิบัติจงกรมรวมญาติในภาคค่ำ การเดินจิตดีมาก ไม่ต้องใช้ความพยายามในการรวมจิต หรือรวมสมาธิตั้งมั่น พอเท้าก้าวขึ้นทางจงกรมทุกสิ่งเดินไปเองได้แบบออโต้ กดปุ่มสวิตซ์ไฟเปิดปิด มีความสุขในแบบว่างๆ ไม่มีความเป็นเรา เรียบๆ จิตต้องต่อสู้กับกิเลสภายในใจของตนเองอย่างหนัก เพื่อบำเพ็ญเพียรขันติบารมีอย่างหนักหนาสาหัส ต้องใช้กำลังจิตกำลังใจด้วยความอดทนอดกลั้นอย่างมหาศาลทีเดียว สู้ต่อไม่ท้อถอย ไม่ท้อแท้คะ
|
|
|
Post by nutty Jeezooya on Jul 27, 2023 10:57:29 GMT 7
🌼วันดีๆวันหนึ่งในห้องทำงานส่วนตัวของเดือนกรกฏาคม 2566 🧘♀️นั่งสวดมนต์หน้าหิ้งพระในห้องทำงาน รู้สึกถึงกำลังตัวเองที่เพิ่มสูงขึ้น มีความกลวงว่าง เบา คล้ายถูกควักเอาตับไตไส้พุง เหลือเพียงโครงร่างเปล่า ข้างในไม่ใช่กระดูก แต่กลับเป็นอากาศ เป็นธาตุ เป็นความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมเหมือนอยู่ในระบบสุริยะจักรวาล จึงสวดมนต์อิติปิโส 3 ห้องครบ แผ่เมตตา นึกครึมอยากหลับตานั่งสมาธิ เชื่อมจิตไปถึงระบบสุริยจักรวาล ด้วยการอยากลองภูมิของตัวเองว่า ในสภาวะนี้จะทำได้หรือไม่ ผลคือ ร่างและจิตของตัวเองหายไป มีเพียงความรับรู้ว่าได้กลมกลืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบสุริยะจักรวาลที่ปรากฏขึ้นให้เห็นตรงหน้า เห็นหมู่ดาวต่างๆ มากมาย การเคลื่อนย้ายของเหล่าธาตุต่างๆของจักรวาล ท้องฟ้าที่มืดประกบด้วยหมู่ดวงดาว และการทำงานของจักรวาล 🧘♀️จิตพยายามค้นหาตัวนัทตี้ที่หายไป ไปอยู่ตรงไหน รู้แต่มันไม่ใช้นัทตี้ สิ่งที่เห็นเป็นร่างโฮโลแกรมแนบเป็นเนื้อเดียวกับระบบสุริยะจักรวาลไปแล้ว มีความใจหายขึ้นมาแวบนึงตอนที่แน่ชัดว่านัทตี้ไม่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้ ธาตุทั้งสี่นั้นไร้ซึ่งตัวตน ไร้ซึ่งความรู้สึกนึกคิด ไร้ซึ้งจินตนาการความปรุงแต่ง มีแต่มวลธาตุมากมายไหลเวียนเคลื่อนไหวไปตามหน้าที่ของจักวาลนั้น 💫คงสภาวะนั้นอยู่ประมาณ 10 กว่านาที ฉันจึงเข้าใจอย่างถ่องแท้กับคำว่า 🧘♀️ “ ไร้ตัวตน” ที่แท้จริงมันเป็นเช่นนี้เอง หาใช่ความไม่มีตัวตนในแบบโลกๆ คือไม่อยากได้ อยากมี อยากดี อยากเป็น สิ่งที่สัมผัสมันเหนือกว่าคำนั้น มันเหนือกว่าสิ่งเหล่านี้เหมือนพลิกขั้วหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว แต่จำเป็นต้องถอยออกจากสมาธิเพราะเป็นห้องทำงาน เกรงจะมีคนเข้ามาพบ 👉สภาวะแห่งความกลวงว่างนี้เกิดขึ้นยาวนานมาถึงการปฏิบัติจงกรมรวมญาติในภาคค่ำ การเดินจิตดีมาก ไม่ต้องใช้ความพยายามในการรวมจิต หรือรวมสมาธิตั้งมั่น พอเท้าก้าวขึ้นทางจงกรมทุกสิ่งเดินไปเองได้แบบออโต้ กดปุ่มสวิตซ์ไฟเปิดปิด มีความสุขในแบบว่างๆ ไม่มีความเป็นเรา เรียบๆ จิตต้องต่อสู้กับกิเลสภายในใจของตนเองอย่างหนัก เพื่อบำเพ็ญเพียรขันติบารมีอย่างหนักหนาสาหัส ต้องใช้กำลังจิตกำลังใจด้วยความอดทนอดกลั้นอย่างมหาศาลทีเดียว สู้ต่อไม่ท้อถอย ไม่ท้อแท้คะ
|
|
บิว
New Member
Posts: 5
|
Post by บิว on Sept 16, 2023 7:57:13 GMT 7
ระหว่างทาง..... สัปดาห์ที่ผ่านมาหนักหน่วงสาหัส โทสะกินไปทั้งใจ และอยู่นานเกือบสองสัปดาห์ ทั้งที่ก่อนหน้าเคยอยู่กับปิติสุขเป็นปกติยาวนานและค่อนข้างเสถียร ขอบคุณกระแสจากครูบาอาจารย์ และสหธรรมิกในกลุ่มที่ทำให้ช่วงเวลาที่แสนลำบากนี้ทุเลาลง เหมือนได้ชะล้างคราบไคลที่สะสมมานาน เมื่อคืนได้เข้าร่วมปฏิบัติคลาสครูตุลย์วันศุกร์ EP436 รู้เขารู้เราแบบไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ตามพี่ตุลย์ทันบ้างไม่ทันบ้างในช่วงเทียบขันธ์ ปฏิบัติไปแบบมาขอเกาะกระแสเลย เพราะจิตก่อนเข้ามามันดิ่งมาก สิ่งที่เรียนรู้ในค่ำคืนนี้คือ จิตมันดิ่งได้ก็พลิกได้ พลิกแบบคนละขั้วเลย มันกลับมาสว่าง สะอาด ได้ใหม่ ด้วยอาศัยกำลังทีม บันทึกนี้เขียนเพื่อให้กำลังใจนักปฏิบัติผู้กำลังท้อ รวมถึงตัวเอง ว่า ต่อให้มันแย่แค่ไหนแค่อย่าเลิกปฏิบัติ อาศัยกำลังเขากำลังเราร่วมทางกันไป ยังไงก็ก้าวหน้า ไม่มีสภาวะใดอยู่ยั้งยืนยาวไม่ว่าดีหรือดิ่ง ขอให้เพียรเดินต่อ จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ร่วมกัน ...กราบดวงจิตทุกดวงที่เพียรร่วมกันมาค่ะ ปล.คลาสพี่ฮิมเมื่อเช้า ไร้ตัวตน 155 ล้างกิเลสด้วยปิติอันเรียบง่าย ทำขนหัวลุกเป็นครั้งแรก 16 ก.ย.66
|
|